- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Author: Writer Publisher
จากกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีขึ้นปราศรัยหาเสียง แล้วพูดเปรียบเทียบลักษณะของหญิงไทยกับชาวแอฟริกาในลักษณะบูลลี่หรือด้อยค่าคนผิวดำ ใจความว่า “หมู่คนแอฟริกัน ดำก็ดำ จมูกก็แหมบ หายใจก็ยาก” พร้อมกล่าวอีกว่า ผู้หญิงไทยมีรูปร่างหน้าตาดีกว่าผู้หญิงแอฟริกัน และไม่จำเป็นต้องทำศัลยกรรมเพื่อเสริมความงาม คำพูดดังกล่าวทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์อย่างดุเดือด โดยทาง South China Morning Post สื่อจากทางฝั่งประเทศจีน ได้หยิบยกประเด็นดังกล่าวนี้ไปเขียน พร้อมกับบรรยายถึงนายทักษิณว่า เป็นมหาเศรษฐีผู้ซึ่งเพิ่งเดินทางกลับเมืองไทยเมื่อเดือนสิงหาคม 2566 หลังจากที่ลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศนานกว่า 15 ปี ซึ่งกล่าวว่า พรรคเพื่อไทยของเขาจะส่งเสริมผู้หญิงไทยที่มีความสวยงามให้เป็นไอคอนในวงการแฟชั่น ซึ่งประเด็นนี้ทำให้นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ว่าไม่ควรเหยียดสีผิวหรือด้อยค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ พร้อมกับเรียกร้องให้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้เป็นลูกสาว ควรตักเตือนผู้เป็นพ่อบ้างกับคำพูดของตนเอง เนื่องจากมันอาจสร้างผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ ด้าน นางสาวแพทองธาร ก็ได้ออกมาตอบกลับประเด็นดรามาดังกล่าวเช่นเดียวกัน โดยระบุว่า “จากที่ฟังเนื้อความพูดเหยียดจริง ๆ หรือไม่ ขอให้ลองไปฟังที่คุณพ่อพูดดูก็ค่อนข้างมั่นใจ 100 เปอร์เซ็นต์เลยว่าเจตนาเรื่องการเหยียดผิวไม่มีแน่ ๆ ซึ่งคุณพ่อเคยบอกก่อนหน้านี้ว่า คนไทยจะไปทำศัลยกรรมทำไม เราก็สวยแบบไทยของเรา รวมถึงการเพิ่มโอกาสให้กับคนที่ไม่ต้องเสียเงินไปทำจมูก ไปทำศัลยกรรม เราก็สามารถประกวดในแบบของเราได้ นี่คือความตั้งใจของพ่อในเรื่องของโอกาส ลองไปฟังต้นฉบับก่อน มั่นใจเลยว่าพ่อไม่เคยเหยียดเรื่องนี้ พ่อเป็นคนที่ไม่ได้เหยียดคนอยู่แล้ว ถ้าได้ยินหรือเข้าใจผิดอย่างนั้น คิดว่าไม่ใช่แน่นอน” และเมื่อถูกถามถึงประเด็นของ สว.อังคณา ที่เรียกร้องให้นายกฯ ตักเตือนพ่อบ้างในเรื่องดังกล่าวที่เป็นปมร้อน นายกฯ กล่าวว่า “ก็มีการคุยกันอยู่แล้ว และทราบถึงความตั้งใจ เพราะเรื่องนี้นายทักษิณพูดมาก่อนที่จะสัมภาษณ์ด้วยซ้ำ มันไม่ใช่เรื่องของการเหยียด ฉะนั้นก็ไม่ต้องเตือนอะไร”. ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #รัฐบาลแพทองธาร #รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ #เพื่อไทย #รัฐบาลเพื่อไทย #ทักษิณ #ทักษิณชินวัตร #เหยียดผิว ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์คลิปพร้อมเนื้อหาบนเฟซบุ๊ก “เทพไท – คุยการเมือง” ในประเด็นที่นายทักษิณ ขึ้นปราศรัยหาเสียงนายก อบจ.เชียงราย แต่กลับสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนในสังคม เนื่องจากในเนื้อหาการปราศรัยมีการด้อยค่าหญิงไทยและคนผิวดำ ร้อนถึง น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้เป็นลูกสาวต้องออกมาตอบคำถามในประเด็นนี้ ซึ่งนายกฯ ยืนยันว่าพ่อของตนไม่ได้เหยียดผิว และชี้ให้ไปฟังคำปราศรัยต้นฉบับก่อนค่อยตั้งคำถามว่าคำปราศรัยดังกล่าวเป็นการเหยียดบุคคลอื่นหรือไม่ ซึ่งนายเทพไทมองว่าสองพ่อลูกผลัดกันอวยโดยปิดหูปิดตาไม่รับฟังคำท้วงติงใด ๆ เกรงว่าจะนำความเสียหายมาสู่ประเทศชาติ โดยระบุข้อความประกอบคลิปว่า “กรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร ปราศรัยหาเสียงนายก อบจ.เชียงราย ถึงการผลักดันหญิงไทยให้เป็นนางแบบระดับโลก โดยเปรียบเทียบกับชาวแอฟริกา ในลักษณะบูลลี่หรือด้อยค่าคนผิวดำ จนมีการออกมาท้วงติงและวิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเห็นของนางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา ที่ต้องการให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ตักเตือนนายทักษิณผู้เป็นพ่อ ในการปราศรัยพาดพิงถึงชาวแอฟริกา จนนักข่าวได้นำเรื่องนี้ไปถามความเห็นของ น.ส.แพทองธาร ว่ามีความเห็นอย่างไร น.ส.แพทองธาร ได้ตอบคำถามของสื่อมวลชนว่า “จากที่ฟังเนื้อความพูดเหยียดจริง ๆ หรือไม่ ขอให้ลองไปฟังที่คุณพ่อพูดดูก็ค่อนข้างมั่นใจ 100 เปอร์เซ็นต์ เลยว่า เจตนาเรื่องการเหยียดผิวไม่มีแน่ ๆ ซึ่งคุณพ่อเคยบอกก่อนหน้านี้ว่า คนไทยจะไปทำศัลยกรรมทำไม เราก็สวยแบบไทยของเรา รวมถึงการเพิ่มโอกาสให้กับคนที่ไม่ต้องเสียเงินไปทำจมูก ไปทำศัลยกรรม เราก็สามารถประกวดในแบบของเราได้ นี่คือความตั้งใจของพ่อในเรื่องของโอกาส ลองไปฟังต้นฉบับก่อน มั่นใจเลยว่าพ่อไม่เคยเหยียดเรื่องนี้ พ่อเป็นคนที่ไม่ได้เหยียดคนอยู่แล้ว ถ้าได้ยินหรือเข้าใจผิดอย่างนั้นคิดว่าไม่ใช่แน่นอน” เมื่อได้ฟังคำตอบจาก น.ส.แพทองธาร แสดงให้เห็นว่า เห็นด้วยกับคำพูดของนายทักษิณ และไม่คิดที่จะตำหนิหรือตักเตือนแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังการันตีว่านายทักษิณไม่ได้เหยียดคนแอฟริกา และท้าทายให้ไปฟังคำปราศรัยต้นฉบับก่อน ซึ่งคนไทยทั้งประเทศที่ได้ฟังคำปราศรัยของนายทักษิณ ต่างก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกันว่า นายทักษิณใช้คำพูดไม่เหมาะสม และมีการพาดพิงถึงชาวแอฟริกาจริง ถ้าเรื่องนี้มีสื่อต่างประเทศนำคำปราศรัยของนายทักษิณ ไปแปลและสื่อสารไปยังพี่น้องชาวแอฟริกา ลองคิดดูว่าคนแอฟริกาจะคิดอย่างไร เมื่อคนระดับอดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวพาดพิงในลักษณะด้อยค่าหรือบูลลี่ และลูกสาวที่เป็นนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน เห็นด้วยกับคำพูดของพ่อ ซึ่งอาจทำให้คนต่างชาติเห็นถึงวุฒิภาวะของ2พ่อลูก ที่เป็นอดีตผู้นำและผู้นำปัจจุบันของประเทศไทย การที่ น.ส.แพทองธารออกมายืนยันว่า นายทักษิณไม่เคยเหยียดใคร ก็ต้องถามว่า คำปราศรัยที่จะส่งเชือกให้กับคนที่เห็นต่าง และวิจารณ์นายทักษิณและรัฐบาลนั้น เป็นการเหยียดบุคคลอื่นหรือไม่ ผมเกรงว่าการที่พ่อออกมาเชียร์ลูก และลูกออกมาเชียร์พ่อ ผลัดกันอวยโดยปิดหูปิดตาไม่รับฟังคำท้วงติงใด ๆ…
เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.คงกฤช เลิศสิทธิกุล ผบก.ทล. ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาชาวเมียนมา จำนวน 58 ราย พร้อมคนไทย 3 ราย ในข้อหาหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และให้ที่พักพิงแก่คนต่างด้าวโดยผิดกฎหมาย การจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งว่ามีการลักลอบขนส่งแรงงานต่างด้าวเข้ามาในพื้นที่ชั้นใน จึงได้วางแผนสืบสวนและติดตามรถยนต์ต้องสงสัย จนกระทั่งพบรถยนต์กระบะและรถตู้ จำนวน 3 คัน ขับขี่ผ่านมาด้วยความเร็วสูงและมีน้ำหนักบรรทุกมากกว่าปกติ เจ้าหน้าที่จึงได้ส่งสัญญาณให้หยุดรถเพื่อตรวจสอบ จากการตรวจสอบพบว่า ผู้โดยสารทั้งหมดเป็นชาวเมียนมา ไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารใดๆ จึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมด พร้อมยึดรถยนต์ของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรพัฒนานิคม เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยเจ้าหน้าที่จะได้ขยายผลเพื่อติดตามจับกุมผู้ร่วมขบวนการที่เหลือต่อไป
น.ส.รสนา โตสิตระกูล อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค ให้สัมภาษณ์ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร บิดา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ปราศรัยประกาศจะลดค่าไฟฟ้าจาก 4.15 บาทต่อหน่วยให้เหลือ 3.70 บาทต่อหน่วย ว่า คาดว่าเป็นการหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ. โดยหวังผลทางการเมือง ซึ่งหากต้องการลดให้ได้ 45 สตางค์เพื่อให้ได้ตัวเลขที่ 3.70 บาทต่อหน่วยจริง ต้องรื้อโครงสร้างราคาพลังงานทั้งหมด แต่ถ้าทำเพื่อหาเสียงด้วยการลดไขมันนิด ๆ หน่อย หรือ ปะผุโดยให้ กฟผ. ไปยืดหนี้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ทั้งนี้เห็นว่านายทักษิณชอบพูดลักษณะนี้ เช่นเคยหาเสียงจะทำให้รถในกทม.หายติดภายในหกเดือนแต่ก็แก้ไม่ได้ หรือจะยกเลิกกฎหมายขายชาติ แต่พอเป็นนายกฯ ก็แปรรูป ปตท.ทันที จะเป็นแบบนี้หรือเปล่า “การจะลดราคาให้ได้ 45 สตางค์ ต้องปรับโครงสร้างจึงจะเป็นไปได้ คนไทยบางทีก็ถูกหลอกไปเรื่อย ๆ การลดค่าไฟกลายเป็นว่าที่ผ่านมาไม่ได้แตะกำไรของเอกชนเลย แต่ปล่อยให้ กฟผ.ถูกล้วงไส้ เหลือกำลังผลิตไม่ถึง 30 % มีการผลักภาระเหมือนจะให้เจ๊งไป เห็นได้ชัดเจนจากกรณีโซลาร์ กฟผ.เสนอ 1.50 บาท แต่ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานหรือ กกพ. โดยการกำกับของ กฟช. คกก.นโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่นายกฯ เป็นประธาน กำหนดให้ซื้อ 2.17 บาท แปลว่าต้องการให้เอกชนรวยแล้วให้ประชาชนแบกรับใช่หรือไม่ เรื่องแบบนี้ต้องยกเลิกเลย ไม่เช่นนั้นประชาชนก็ต้องแบกรับค่าไฟแพงเหมือนเดิม“ น.ส.รสนา ยังเสนอว่าต้องสนับสนุนพลังงานหมุนเวียนที่ไม่มีต้นทุนค่าเชื้อเพลิง แต่ประเทศเรายังไม่ยอมทำ ปล่อยให้กลุ่มทุนผูกขาดและปล่อยให้ประชาชนแบกรับค่าไฟราคาแพง เวลาที่นักการเมืองพูดว่าจะลดค่าไฟก็เป็นการลดแบบยืดหนี้ ปะผุเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อคะแนนเสียง แต่หลังจากนั้นก็เหมือนเดิม หากเทียบกับเวียดนามเขาไปเร็วมาก ไม่ใช่แค่ชนะบอลไทย แต่ชนะเราเรื่องการผลิตไฟ เพราะของเขาหน่วยละแค่ 2.90 บาทเรายังบอกจะปรับลงมาได้แค่ 3.70 บาท และสิ่งที่เวียดนามจะทำคือ ภายในปี 2573…
ก่อนหน้านี้ The Publisher ได้นำเสนอข้อมุล การเลื่อนชั้นนักโทษแบบรัว ๆ ลดโทษแบบต่อเนื่องจนทำให้บรรดานักการเมืองระดับชาติและข้าราชการระดับสูงในกระทรวงพาณิชย์ พาเหรดเดินออกนอกคุกกันเป็นแถวไปแล้ว ล่าสุดมีข้อมูลว่า นายสมคิด เอื้อนสุภา หนึ่งในผู้ต้องขังคนสำคัญในคดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ซึ่งถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาลงโทษจำคุก 16 ปี ได้รับการเลื่อนชั้น ลดโทษในรูปแบบไม่แตกต่างจากคนอื่น ๆ จากโทษ 16 ปี เหลือ 8 ปี ก่อนได้รับการพักโทษและปล่อยตัวเป็นอิสระไปแล้วตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2564 หลังจากรับโทษเป็นเวลา 3 ปี 8 เดือน 29 วัน คดีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) โดยทุจริต โดยนายสมคิดถูกระบุว่าเป็นผู้ซื้อเช็คจำนวนหลายใบเพื่อชำระเป็นค่าข้าว แทนที่จะเป็นบริษัทตัวแทนจากจีนที่เข้ามาทำสัญญาซื้อขาย ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่าการซื้อขายดังกล่าวไม่ได้เป็นการซื้อขายแบบจีทูจีจริง สำนักข่าวอิศราเคยรายงานว่า นายสมคิดมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการทุจริตระบายข้าวจีทูจี โดยนายสมคิดทำหน้าที่เป็นผู้ซื้อแคชเชียร์เช็คจำนวนหลายร้อยฉบับ คิดเป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท เพื่อนำไปชำระค่าข้าว อย่างไรก็ตาม นายสมคิด อ้างว่าตนเองเป็นเพียงพนักงานรับส่งเอกสาร และไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับการทุจริตดังกล่าว แต่ศาลฎีกาฯ มองว่านายสมคิดมีส่วนรู้เห็นและสนับสนุนการกระทำความผิด จึงพิพากษาลงโทษจำคุก 16 ปี การได้รับการพักโทษของนายสมคิดในครั้งนี้ สร้างความสงสัยให้กับสังคมถึงกระบวนการยุติธรรม และมาตรฐานในการพิจารณาพักโทษผู้ต้องขังในคดีทุจริต
พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงความคืบหน้าการจำคุกนอกเรือนจำ ว่า ขณะนี้คณะกรรมการกำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งเป็นอำนาจของกรมราชทัณฑ์ โดยหลังจากรับฟังความเห็นแล้ว อธิบดีกรมราชทัณฑ์ต้องนำผลไปพิจารณาอย่างละเอียด แม้ส่วนใหญ่เห็นด้วยในหลักการ แต่ยังมีรายละเอียดที่ต้องพิจารณา เช่น ค่าสาธารณูปโภค ค่ากล้องวงจรปิด และค่าใช้จ่ายในการติดกำไล EM ซึ่งเป็นไปตามระเบียบที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ยืนยันว่าการจำคุกนอกเรือนจำไม่ได้ออกมาเพื่อคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นการแก้ไขปัญหาความแออัดในเรือนจำด้วยหลักนิติธรรม สำหรับ 4 กลุ่มคนที่จะได้รับการพิจารณาเข้าเกณฑ์จำคุกนอกเรือนจำ ประกอบด้วย กลุ่มที่ได้รับการจำแนก กลุ่มที่ต้องได้รับการพิจารณาพฤตินิสัย กลุ่มเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย กลุ่มผู้ต้องขังเจ็บป่วย โดยทั้ง 4 กลุ่มนี้จะผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการตั้งแต่ระดับเรือนจำจนถึงระดับอธิบดีกรมราชทัณฑ์ โดยเน้นย้ำให้ใช้หลักเกณฑ์มากกว่าดุลพินิจ พ.ต.อ. ทวี ยืนยันว่ากรณีของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ไม่เข้าเกณฑ์ เนื่องจากมีโทษเกิน 5 ปี และปฏิเสธที่จะตอบคำถามกรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์ อาจขอพระราชทานอภัยลดโทษ ทำให้โทษลดลงต่ำกว่า 4 ปี ซึ่งจะเข้าเกณฑ์คุมขังนอกเรือนจำได้ โดยอ้างว่าขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ส่วนผู้ต้องขังคดี ม.112 ก็อยู่ในการพิจารณาด้วยเช่นกัน โดยยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมและไม่อคติ
จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลทางสื่อสังคมออนไลน์และสื่อสาธารณะว่า DSI รับอาสาสมัครรูปร่างคล้ายแตงโม-แซน เพื่อจำลองเหตุการณ์ในวันที่ 16 มกราคมนี้ และมีนัดหมายกับนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ เพื่อทดสอบจำลองสถานการณ์ในวันเกิดเหตุนั้น ล่าสุด กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้ออกมาชี้แจงว่า การรับอาสาสมัครเพื่อดำเนินการจำลองเหตุการณ์การเสียชีวิตของนางสาวภัทรธิดา (นิดา) พัชรวีระพงษ์ หรือ แตงโม ในวันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม 2568 นั้น เป็นการดำเนินการของภาคประชาชน ทั้งนี้ DSI ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากการที่นายอัจฉริยะ ประธานมูลนิธิชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้มีหนังสือร้องขอต่อกระทรวงยุติธรรม โดยมีพันตำรวจตรี ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม เป็นหัวหน้าคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงยังอยู่ในระหว่างการดำเนินการของคณะทำงานฯ หากมีความคืบหน้าจะชี้แจงให้สาธารณชนทราบต่อไป
7 ม.ค. 68 พ.ท.หญิงชลรัศมี งาทวีสุข ประกาศลาจอ รายการเช้านี้ที่ประเทศไทย ที่จะออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (ททบ.5) เป็นวันสุดท้ายในวันที่ 31 ม.ค. 2568 พ.ท.หญิง ชลรัศมีกล่าวว่า “เป็นสิ่งที่ทีมงานทุกคนไม่มีใครตั้งตัว ไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งผู้ชม แต่ด้วยบางอย่างที่มันเกิดขึ้น ทำให้พวกเราทุกคนอาจจะไม่ได้มีโอกาสที่จะได้พูดคุยและเจอหน้ากันยามเช้าแบบนี้ แต่สัญญาว่า 20 วันที่เหลือที่ยังอยู่กับผู้ชม จะทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ยังเป็นกระบอกเสียงและยึดมั่นนำเรื่องราวดีๆ บอกกล่าวกับผู้ชม ยังคงยึดมั่นในคุณธรรม จริยธรรม และสิ่งดีๆ ของการเป็นสื่อมวลชน ที่จะนำเสนอเรื่องราวที่ดี ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม” พร้อมทั้งโพสต์ข้อความซึ้งผ่านเพจเฟซบุ๊ค ขอบคุณแฟนๆ รายการเช้านี้มีประเทศไทย ที่อยู่เคียงข้างกันมา 9 ปี และจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในอีก 19 วันที่เหลือจนถึงวันลาครั้งสุดท้ายในหน้าจอ
เป็นการวัดค่าคุณภาพอากาศที่ย่ำแย่ในช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยพบว่า กทม.อยู่อันดับ 7 ของโลก เมื่อมีค่าฝุ่นปกคลุมในระดับส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และเมื่อตรวจสอบคุณภาพอากาศทั่วทั้ง กทม.พบถึง 70 พื้นที่หรือเต็มทุกพื้นที่ โดยมีคุณภาพอากาศอยู่ในระดับสีแสดหรือเริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และเตือนประชาชนลดกิจกรรมนอกอาคาร และป้องกันตนเอง ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 10 มกราคม 2568 สาเหตุหนึ่งเกิดจาก่การระบายอากาศอยู่ในเกณฑ์ ไม่ดี-อ่อน มลพิษทางอากาศแพร่กระจายได้จำกัด ส่งผลให้ความเข้มข้นของฝุ่นละอองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ และมีแนวโน้มลดลงในช่วงสุดสัปดาห์ ก่อนเพิ่มขึ้นอีกครั้ง นอกจากนี้ยังเริ่มพบจุดฮอตปอร์ตที่เกิดจากการเผาในพื้นที่การเกษตรอีกหลายร้อยจุด ทำให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็กในหลายพื้นที่ จนหลายจังหวัดเริ่มมาตรการห้ามเผาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เลยทีเดียว
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า นายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคลิเบอรัล ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล โดยระบุจะลาออกจากทั้งสองตำแหน่ง เมื่อมีการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ได้แล้ว พร้อมระบุเขาไม่สามารถเป็นหัวหน้าพรรคลิเบอรัล ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป และการลาออกเป็นโอกาสทำให้อุณหภูมิทางการเมืองลดลงมา การประกาศลงจากตำแหน่งมีขึ้นหลังคะแนนนิยมของเขาเริ่มลดลงเมื่อ 2 ปีก่อน หลังประชาชนไม่พอใจที่ค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้น และการขาดแคลนที่อยู่อาศัยสร้างความลำบากให้กับประชาชน พร้อมกับผลสำรวจแสดงให้เห็นว่าพรรครัฐบาลจะพ่ายแพ้แก่พรรคฝ่ายค้านในการเลือกตั้งปลายเดือนตุลาคมนี้ ทั้งนี้ ทรูโด เข้ารับตำแหน่งครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน 2015 ด้วยภาพลักษณ์คนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง และชนะการเลือกตั้งในอีก 2 สมัย ทำให้ทรูโดเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดคนหนึ่งของแคนาดา
