Author: Writer Publisher

.นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊กชวนคนไทยตรวจสอบสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 ไม่มีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ไทย-กัมพูชา แต่มีผลประโยชน์ทับซ้อนสองตระกูลนักโกงเมือง พร้อมติดแฮชแท็ก เสียอธิปไตยแลกทุนพลังงาน จับตาเจรจาขายชาติ

Read More

.หลังนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลงนามในประกาศหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขการกำหนดพื้นที่ทำการค้าและขายหรือจำหน่ายสินค้าบนถนน หรือสถานสาธารณะ โดยเฉพาะเรื่องคุณสมบัติผู้ว่าและผู้ช่วยจำหน่ายต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทยเท่านั้น และเป็นบุคคลที่ต้องมีคุณสมบัติข้อใดข้อหนึ่งคือ เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นคู่สัญญาซื้อบ้านโครงการบ้านมั่นคง เป็นผู้ได้รับเงินจากกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เป็นผู้มีรายได้ไม่เกิน 3 แสนบาทต่อปี ตามที่ The Publisher ได้รายงานมาตั้งแต่ช่วงเช้า.ปรากฏว่าพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่แผงลอยในย่านต่าง ๆ ของกรุงเทพมหานคร ต่างเห็นด้วย เพราะขณะนี้มีชาวต่างชาติตั้งแผงขายแข่งกับพ่อค้าแม่ค้า คนไทย แย่งอาชีพ และไม่รักษาความสะอาด กระทั่งละเลยกฎหมาย หลักเกณฑ์ดังกล่าวจะนำไปสู่การเพิ่มพื้นที่ทำมาหากินให้กับคนไทยมากขึ้น.แต่สำหรับผู้ช่วยจำหน่ายหรือลูกจ้างที่ระบุต้องเป็นคนไทยอาจต้องผ่อนปรนบ้าง เพราะบางครั้งหาคนไทยมาเป็นผู้ช่วยจำหน่ายไม่ได้ รวมถึงหลักเกณฑ์อื่น ๆ ที่อาจเป็นข้อจำกัด ให้ผู้มีรายได้น้อยได้มีอาชีพเช่นกัน.

Read More

.จากวิกฤตการณ์น้ำท่วมภาคเหนือ ส่งผลให้บ้านเรือนเกิดความเสียหายและเต็มไปด้วยดินโคลน ด้วยเหตุนี้เอง “ช่างมิตร” คุณศุภนิจ เข้มแข็ง เจ้าของโรงงานตัดเหล็ก “เนรมิตการช่าง” แถว ต.บ้านดู่ อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย ก็พร้อมที่จะช่วยเหลือพี่น้องชาวจังหวัดเชียงรายเท่าที่ตนจะช่วยได้ เพราะเดิมทีเวลาเกิดภัยพิบัติ ช่างมิตรและครอบครัวก็มักจะระดมเงินไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยตลอด แจกข้าว แจกอาหาร แจกถุงยังชีพในพื้นที่ที่ยากจะเข้าถึง. ซึ่งครั้งนี้ถือว่าเป็นปีที่หนักมากสำหรับพี่น้องชาวเชียงราย แม้ในบางพื้นที่ระดับน้ำจะลดลงบ้างแล้ว แต่ก็ทิ้งคราบสกปรกและโคลนตมกองพะเนินเอาไว้ หลายครอบครัวจึงเริ่มกลับเข้ามาในพื้นที่เพื่อเร่งทำความสะอาดบ้านของตัวเองกันแล้ว ช่างมิตรจึงเกิดแนวคิดว่าอยากทำอุปกรณ์ที่เอาไว้สำหรับลากโคลน ด้วยความที่กิจการของตนก็เป็นโรงงานตัดเหล็ก จึงใช้เหล็กทำ เพราะมันแข็งแรงกว่า จึงระดมเงินกันในครอบครัวและเพื่อนฝูงเพื่อจัดทำไม้ลากโคลนขึ้นมา.เมื่อทำขึ้นมาได้ 200 อันก็เอาไปแจกจ่ายพี่น้องชาวเชียงรายฟรี ๆ โดยไม่คิดเงินสักบาท ทำด้วยใจอยากช่วยเหลือล้วน ๆ ต่อมาแฟนของช่างมิตรได้เอาสิ่งที่ทำไปโพสต์ในโซเซียล จึงมีคนที่ต้องการเข้ามามีส่วนร่วม ติดต่อเข้ามาเพื่อจะร่วมช่วยเหลือ มีผู้ใจบุญจากหลาย ๆ ที่ติดต่อขอช่วย รวมไปถึงร้านค้าต่าง ๆ ในพื้นที่ จ.เชียงราย ที่ทราบเรื่องที่ช่างมิตรทำ ก็พากันลดราคาสินค้าให้ ซึ่งแต่ละวันที่โรงงานสามารถผลิตไม้ลากโคลนได้ประมาณ 700-800 อัน และตลอดระยะเวลาที่เริ่มทำมาจนถึงตอนนี้ ได้แจกจ่ายไม้ลากโคลนไปแล้วประมาณ 2,300 อัน. ขอบคุณที่มาข้อมูลข่าว : Chiangmai News ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #น้ำท่วม67 #น้ำท่วมเชียงราย #อุทกภัย

Read More

.กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) ร่วมกันจับกุม นายกฤษฎาฯ อายุ 31 ปี ข้อหา ค้ามนุษย์ โดยเป็นธุระจัดหา ซื้อ ขาย จำหน่าย พามาจากหรือส่งไปยังที่ใด หน่วงเหนี่ยว กักขัง จัดให้อยู่อาศัย หรือรับไว้ซึ่งเด็ก เพื่อการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการค้าประเวณี และได้กระทำแก่บุคคลอายุเกินสิบห้าปี แต่ไม่ถึงสิบแปดปี คาร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา. .โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แฝงตัวไปใช้บริการที่ร้านคาราโอเกะ แล้วทำทีติดต่อขอซื้อบริการเด็กสาว อายุ 16 ปี ผู้ทำหน้าที่บริการชงเหล้า เด็กสาวจึงขอตัวไปพูดคุยกับเจ้าของร้าน จากนั้นตกลงราคากัน เมื่อทำการซื้อขายและจ่ายเงินให้กับเด็กสาวเป็นที่เรียบร้อย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ดำเนินการช่วยเหลือเด็กสาวออกมาจากสถานที่ดังกล่าว.จากนั้น เป็นหน้าที่ของชุดจับกุมที่บุกเข้าไปภายในร้านเพื่อควบคุมตัว นายกฤษฎาฯ จากการตรวจค้นเบื้องต้น พบของกลางเป็นธนบัตรจำนวนหนึ่งที่ทางตำรวจได้ลงบันทึกประจำวันเอาไว้ ซึ่งคือเงินที่จ่ายเป็นค่าตัวเด็กสาวอายุ 16 ปี นอกจากนี้ยังพบกับเด็กหญิง อายุ 15 ปี ภายในร้านอีกด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการช่วยเหลือไว้ และนำตัวนายกฤษฎาฯ มายัง สภ.ปักธงชัย เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป.

Read More

.ศึกระหว่างแบงก์ชาติกับรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร น่าจะเรียกได้ว่าเริ่มนับหนึ่ง หลังจากที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ออกมาพูดในทำนองด้อยค่า ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าแบงก์ชาติ ตั้งคำถามว่าจบอะไรมา ดูไม่ค่อยรู้เรื่องที่แสดงความเห็นว่าไม่ควรทุ่มไปกับเรื่องตัวเลข GDP พร้อมกับส่งสัญญาณกดปุ่มให้แบงก์ชาติต้องทำตามทั้งเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ย การบริหารจัดการไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งเกินไป และการเพิ่มสภาพคล่องให้กับเอสเอ็มอี ขณะที่ผู้ว่าแบงก์ชาติคนปัจจุบันกำลังจะครบวาระในเดือนกันยายนปีหน้า ก็เป็นที่จับตาว่าจะมีการแทรกแซงในการตั้งผู้ว่าแบงก์ชาติในอนาคตหรือไม่.แต่นั่นก็ยังเป็นเรื่องอีกราว 1 ปี สิ่งที่ต้องโฟกัสก่อนคือการเลือกบอร์ดแบงก์ชาติ และประธานบอร์ดแบงก์ชาติที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนตุลาคมนี้ ข่าวมาแรงว่ารัฐบาลจะดันนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรมว.คลัง ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไปเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ เพราะคราวนี้ไม่มีติดขัดเรื่องข้อกฎหมายเหมือนยุครัฐบาลเศรษฐา ที่รั้งตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ อยู่ เลยขยับไปไม่ได้ ตอนนี้ทางโล่งโปร่งสะดวก รอนั่งเก้าอี้แบบสบายใจ.แต่ดูเหมือนสังคมจะไม่สบายใจตามไปด้วย เพราะมีข้อกังวลว่าหากรัฐบาลผลักดันได้สำเร็จ จะกลายเป็นการเปิดประตูให้การเมืองเข้าไปล้วงลูกแทรกแซงแบงก์ชาติได้หรือไม่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นผลที่ตามมาคือ เสี่ยงที่จะทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพการเงินของประเทศ จนเงินทุนอาจไหลออกได้.หากเราย้อนดูพฤติกรรมการบริหารประเทศของรัฐบาลในเครือข่ายทักษิณจะเห็นว่า มีความพยายามแทรกแซงการทำงานของแบงก์ชาติมาโดยตลอด ดังจะเห็นได้จากกรณีของ หมอเลี้ยบ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ขณะเป็นรมว.คลัง ในรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ก็ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก 1 ปี (รอลงอาญา) ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต เป็นเหตุให้ผู้หนึ่งผู้ใดได้รับความเสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157.สาเหตุที่ถูกลงโทษก็เป็นเพราะ นพ.สุรพงษ์ แต่งตั้งประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในบอร์ดแบงก์ชาติโดยมิชอบ เนื่องจากคณะกรรมการคัดเลือกประธานและกรรมผู้ทรงคุณวุฒิในบอร์ดแบงก์ชาติ 3 รายมีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายธนาคารแห่งประเทศไทย ได้แก่ นายสถิต ลิ่มพงศ์พันธุ์ นายวิจิตร สุพินิจ และนายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ซึ่งทั้งสามรายเป็นกรรมการบริหารธนาคารทหารไทย กรรมการอิสระและกรรมการตรวจสอบธนาคารทหารไทย และรองประธานกรรมการและกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทยในขณะนั้น ตามลำดับ และธนาคารดังกล่าวอยู่ภายใต้กำกับของแบงก์ชาติ ซึ่งบอร์ดแบงก์ชาติมีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลนโยบายทางการเงินและเสถียรภาพการเงินของประเทศ.การที่นพ.สุรพงษ์จงใจแต่งตั้งบุคคลทั้งสาม เพื่อให้เลือกบุคคลที่ต้องการให้เข้าไปเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในบอร์ดแบงก์ชาติ จึงอามีส่วนได้ส่วนเสียในอนาคตกับธนาคารที่อยู่ภายใต้กำกับของแบงก์ชาติ แต่หลังจากที่มีคำสั่งไปเกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยกเลิกคำสั้งแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกฯ และประธานกับกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในบอร์ดแบงก์ชาติสมัย นพ.สุรพงษ์ จึงไม่ก่อให้เกิดความเสียหายมากนัก.ศาลฎีกาฯ จึงพิพากษาว่า นพ.สุรพงษ์ มีความผิดตามมาตรา 157 จำคุกหนึ่งปี ปรับสองหมื่นบาท แต่โทษให้รอลงอาญา 1 ปี.อานิสงส์จากคดีดังกล่าวทำให้มีการแก้ไจกฎหมายแบงก์ชาติ กำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการคัดเลือกไม่ให้มาจากข้าราชการประจำ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและมีอิสระในการคัดเลือกมากขึ้น.นี่เป็นบทเรียนราคาแพงที่ “นาย” คนสั่งไม่ต้องรับผิดชอบแต่คนรับ “กรรม”…

Read More

.กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ร่วมกันจับกุม ชายชาวเมียนมาร์ ฐานความผิด “ซ่อนเร้นหรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายเพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม และเป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายพฤติการณ์ในการจับกุม” พร้อมกับผู้ต้องหาที่ 2 – 8 ฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมาย” นั่งอัดกันมาในรถเก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า สีเทา.จากการตรวจสอบ พบว่า นาย Tun ไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ แต่ทำหน้าที่เป็นผู้ขับรถพาชาวเมียนมาร์ทั้งหมดลักลอบเข้ามาในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย เนื่องจากบุคคลทั้ง 7 ไม่มีเอกสารหลักฐานอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรอย่างถูกต้อง เบื้องต้นนาย Tun ให้การว่าตนได้รับจ้างพาบุคคลต่างด้าวทั้ง 7 คนจาก อ.เมืองประจวบฯ ไปส่งยัง อ.บางสะพานน้อย โดยได้รับค่าจ้างจากชาวเมียนมา ทั้ง 7 คนเป็นเงิน 2,000 บาท กระทั่งถูกตำรวจสกัดจับในที่สุด เบื้องต้นนาย Tun ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา.

Read More

นายประยุทธ เพชรคุณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงว่า อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 8 ที่มีอดีตผู้บัญชาการ พล.ร.5 เป็นผู้ต้องหาที่ 1 ส่วนอีก 7 คนเป็นคนคุม และพลขับ หลังจากรับสำนวนวิสามัญฆาตกรรมและสำนวนไต่สวนชันสูตรพลิกศพของศาลจังหวัดสงขลา ก่อนมีคำสั่งสอบสวนเพิ่มเติม กระทั่งพนักงานสอบสวนส่งผลสอบสวนให้อัยการสูงสุด ในวันที่ 20 ส.ค.2567 อัยการสูงสุดพิจารณาแล้วมีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 8 เพราะจากพยานหลักฐาน ถึงไม่ประสงค์ต่อผลที่จะให้ผู้ตายถึงแก่ความตายก็ตาม แต่การจัดหารถเพียง 25 คัน ในการบรรทุกผู้ชุมนุมพันกว่าคน อันเป็นการบรรทุกที่แออัดเกินกว่าจะเป็นวิธีการบรรทุกคนที่เหมาะสม อีกทั้งผู้ต้องหาที่ 1 และ 7 ซึ่งเป็นคนคุมรู้อยู่แล้วว่า จำนวนรถกับจำนวนคนไม่เหมาะสมกัน ผู้ต้องหาซึ่งเป็นคนขับรถก็เห็นถึงสภาพการบรรทุกผู้ชุมนุมดังกล่าว อันเป็นเหตุให้ผู้ตายทั้ง 78 คน ขาดอากาศหายใจในระหว่างอยู่ในความควบคุม การกระทำของผู้ต้องหาทั้ง 8 ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าจะทำให้ผู้ตายขาดอากาศหายใจและถึงแก่ความตายได้ จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น จึงสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 8 ตามข้อกล่าวหา ทั้งนี้อัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องดังกล่าวแล้ว ได้แจ้งคำสั่งไปยัง ผบ.ตร. เพื่อดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ต้องหาทั้งแปด พร้อมแจ้งสิทธิและพฤติการณ์แห่งคดี และส่งตัวให้พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดปัตตานีต่อไป ส่วนสำนวนคดีที่ประชาชนยื่นฟ้องต่อศาลเอง ตัวผู้ต้องหาไม่ใช่ชุดเดียวกัน มีเพียงอดีตผู้บัญชาการ พล.ร.5 เป็นผู้ต้องหาคนเดียวที่มีชื่อตรงกันคนเดียว ส่วนจะมีรวมสำนวนคดีทั้งของตำรวจและราษฎรหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาล

Read More

.คนไทยอึ้งทั้งประเทศ เมื่อชาวเน็ตได้เผยแพร่คลิปชายคนหนึ่งที่กำลังติดป้าย “เปิดบริษัทให้เช่ารถยนต์ รถจักรยานยนต์” มาติดประกาศหน้าบ้านหลังหนึ่ง โดยข้อความบนป้ายเป็นภาษาพม่าทั้งหมด ราวกับไม่ได้มีไว้เพื่อสื่อสารกับคนไทย ซึ่งโพสต์ดังกล่าวมียอดเข้าชมกว่า 2.5 ล้านครั้ง สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ให้กับคนในสังคมไทยมากมาย.หลายคนมองว่า การที่ชาวเมียนมาร์เหล่านี้มาเปิดธุรกิจในไทยได้อย่างโจ๋งครึ่ม หากไม่ได้มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายถือเป็นการท้าทายระบบการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยและเป็นการเหยียบหน้ากรมขนส่งทางบกอย่างแรงเลยทีเดียว.อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่ชาวเมียนมาร์ที่ลักลอบเปิดธุรกิจในไทยอย่างผิดกฎหมาย แต่มันรวมไปถึงทุนจีนสีเทา มาเฟียรัสเซีย และชาวต่างชาติอีกหลาย ๆ สัญชาติที่ลักลอบเข้ามาทำงานในประเทศไทยโดยไม่ได้มีใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) วีซ่า (Visa) และเสียภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วย วอนถึงตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จับตาดูอย่างใกล้ชิด และคอยตรวจสอบอย่างเคร่งครัด. มาเปิดบริษัทแบบนี้ก็ได้เหรอ #น้ําท่วม2567 pic.twitter.com/VdBqD9wiIx— น้องเฝ้าหน้าจอ (@hllod5) September 16, 2024

Read More

.ภาพดังกล่าว ถูกระบุว่าเป็นบ้านหลังหนึ่งที่จังหวัดเชียงใหม่ มีป้ายข้อความว่า “เราไม่ต้องการเงินอัปยศ 10,000 บาท” ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ ครม.เพิ่งมีมติเคาะแจกเงินหนึ่งหมื่นบาทให้กับกลุ่มเปราะบาง ทั้งผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้พิการ ราว 14.5 ล้านคน วงเงินงบประมาณ 1.45 แสนล้านบาท โดยจะแบ่งจ่ายเป็นสี่รอบ ตั้งแต่วันที่ 25 26 27 และ 30 กันยายน. โพสต์นี้จึงเปรียบเสมือนการสวนกระแสไม่รับเงินหมื่นบาทที่รัฐบาลกำลังหว่านแหแจกให้.ส่วนผู้ที่ลงทะเบียนไปกว่า 36 ล้านคนจะได้เงินหมื่นหรือไม่ ยังไม่มีความชัดเจน เพราะตอนนี้ดูเหมือน “ดิจิทัลวอลเล็ต” จะถูกเก็บเข้าลิ้นชัก กลายเป็นไส้ในของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ไม่ใช่นโยบายเรือธงของรัฐบาลเหมือนที่ผ่านมา.

Read More