Browsing: News

หลังช่วงเช้าที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนัดประชุมหารือ และลงมติ ในคำร้องที่ 36 สว.เช้าชื่อยื่นขอให้วินิจฉัย ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัว เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ล่าสุดตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัย พร้อมถ่ายทอดสดให้ทราบทั่วกัน ขณะที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ขณะนี้อยู่ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาลรอฟังการอ่านคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ จากนั้นจะแถลงข่าวทันทีที่มีคำวินิจฉัย

Read More

ดร.ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ประธานสถาบันประชาธิปไตยสุจริต แสดงความเห็นต่อกรณีคลิปเสียงการสนทนาระหว่าง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ) กับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา หรือที่ถูกเรียกกันว่า “คลิปอังเคิล” ดร.ดิเรกฤทธิ์ กล่าวว่า “ฟังคลิปเสียงฉบับเต็มและเสียงวุ้นเส้นฉบับแปลแล้ว เป็นเรื่องประเทศชาติที่ไม่ควรไปแอบคุยกัน และผมเห็นว่ามีเรื่องลับทางทหาร รวมทั้งมีข้อความหารือกันแก้ปัญหาที่กองทัพไทยต้องดำเนินการตามกฎอัยการศึกด้วย” พร้อมกันนี้ย้ำว่า ทุกฝ่ายควร “เคารพศาลและเคารพกันและกัน” เพื่อให้การพิจารณาเดินไปตามกระบวนการยุติธรรม สำหรับคดีดังกล่าว เกิดจากการที่สมาชิกวุฒิสภายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้วินิจฉัยว่าแพทองธารกระทำผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงจากการสนทนากับฮุน เซน โดยศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว และกำหนดอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคมนี้

Read More

สำนักข่าวซินหัว ระบุองค์การขนส่งทางบกของสิงคโปร์รายงานว่าสิงคโปร่ กำลังเพิ่มความเข้มงวดในการปราบปรามการสูบบุหรี่ไฟฟ้า (vaping) ภายในระบบขนส่งสาธารณะ โดยทีมเจ้าหน้าที่ตามสถานีขนส่งดำเนินการลาดตระเวนเชิงรุก โดยมาตรการจะดำเนินการกับผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้า ด้วยการถูกนำตัวออกจากสถานีขนส่งสาธารณะและรายงานเหตุกับทางการ ส่วนผู้มีอาการมึนเมาจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้า อาจถูกดำเนินการตามกฎหมายโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ด้านเอสเอ็มอาร์ที (SMRT) ผู้ให้บริการขนส่งของสิงคโปร์ กระตุ้นเตือนสาธารณชนแจ้งทางการหากพบเจอการสูบบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งเป็นสิ่งผิดกฎหมายในสิงคโปร์และผู้กระทำผิดอาจถูกปรับสูงถึง 2,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 5 หมื่นบาท) ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #บุหรี่ไฟฟ้า #สูบบุหรี่ไฟฟ้าในขนส่งสาธารณะ #กฎหมายสิงคโปร์

Read More

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS ถึงประธานศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้มีคำสั่งเรียกบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นโต้แย้งคำให้การของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีจากสมเด็จฮุนเซน ในรูปแบบข้อมูลทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่อดิจิทัลอื่นใด เพื่อให้ศาลได้ใช้ในกระบวนพิจารณาในการวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธารสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ หรือไม่ โดยนายเรืองไกรอ้างว่าจากความเห็นของนางสาวแพทองธาร ผู้ถูกร้องในคดีคลิปเสียงฮุน เซน พบว่ายังขาดข้อเท็จจริงจากผู้เกี่ยวข้อง คือสมเด็จฮุนเซน ซึ่งเมื่อดูจาก พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ และข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญ จึงมีเหตุจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องไต่สวนสมเด็จฮุนเซนด้วย ซึ่งหากไม่ได้รับความร่วมมือก็ถือว่าศาลได้ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายแล้ว ทั้งนี้คดีคลิปเสียงสนทนาอยู่ในช่วงท้ายของการพิจารณา หลังศาลรัฐธรรมนูญนัดไต่สวนพยานอีก 2 ปากคือนางสาวแพทองธาร ผู้ถูกร้อง และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในวันที่ 21 สิงหาคม เกี่ยวกับเนื้อหาและเจตนาการเจรจาต่อรอง ก่อนมีคำวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคมว่าผู้ถูกร้องกระทำการเข้าข่ายไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่

Read More

กระทรวงการต่างประเทศ จัดบรรยายพิเศษแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศกรอบอนุสัญญาออตตาวา จาก 41 ประเทศ รวม 67 คน เกี่ยวกับเหตุการณ์การใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยกัมพูชา โดยระบุว่า กัมพูชาจงใจละเมิดอธิปไตยของไทย ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและพันธกรณีหลักภายใต้อนุสัญญาออตตาวา ที่ว่าด้วยการห้ามมีและใช้กับระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง . ประเทศไทย ขอประณามการกระทำดังกล่าวและเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศดำเนินการทุกทางให้กัมพูชาหยุดการใช้กับระเบิดอย่างไร้มนุษยธรรม และปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด ซึ่งไทยได้แจ้งต่อเลขาธิการสหประชาชาติ UN เพื่อขอคำชี้แจงจากกัมพูชาตามมาตรา 8 วรรค 2 ของอนุสัญญาออตตาวา โดยในวันพรุ่งนี้ รัฐบาลจะนำคณะผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูต ลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ที่ได้รับผลกระทบจากกับระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งเพิ่งถูกฝังโดยฝ่ายกัมพูชา พร้อมเยี่ยมชมหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ก่อนเดินทางต่อไปยัง บ้านหนองเม็ก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งมีบ้านเรือนของประชาชนที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก จากการโจมตีของกัมพูชาที่ไม่เลือกเป้าหมายและไร้มนุษยธรรม

Read More

A closeup shot of the realistic flag of Vietnam with interesting textures เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนต่อเหตุการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา โดยสนับสนุนฉันทามติหยุดยิงที่เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของอาเซียน นี่ไม่ใช่แค่ท่าทีทางการทูตตามปกติ แต่สะท้อนยุทธศาสตร์เชิงลึกของจีนในภูมิรัฐศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการจัดวางบทบาทอย่างรอบคอบ 1. จีนในฐานะ “ผู้ประสานเงียบ” (Quiet Coordinator): ไม่เสนอแผน แต่ไม่ถอยจากเวที แม้จีนจะมีบทบาทในระดับโลกในฐานะสมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และคู่แข่งหลักของสหรัฐฯ ในเวทีนานาชาติ แต่ในการจัดการกับความขัดแย้งไทย–กัมพูชา จีนกลับเลือกแสดงบทบาทที่ “เบื้องหลัง” โดยให้การสนับสนุนฉันทามติที่อาเซียน (นำโดยมาเลเซีย) เป็นผู้ประสานงานหลัก ตัวอย่างที่ใกล้เคียงในอดีต: กรณีทะเลจีนใต้ จีนกลับ ไม่ยอมรับอำนาจศาลอนุญาโตตุลาการถาวร (PCA) ที่ตัดสินให้จีนไม่มีสิทธิ์เหนือพื้นที่พิพาทกับฟิลิปปินส์ (ปี 2016) แต่ในกรณีไทย–กัมพูชา จีนเลือกสงวนท่าทีและ หลีกเลี่ยงการปรากฏตัวเป็นผู้นำเจรจา ท่าทีนี้จึงไม่ใช่ความเฉยเมย แต่คือยุทธศาสตร์ “วางตัวเป็นผู้ประสาน” (coordinator) ที่พร้อมเข้าร่วม หากถูกเชิญ มากกว่าที่จะเข้าไป “คุมเกม” 2. หนุนอาเซียนเพื่อผลักดันภาพ “มหาอำนาจที่เคารพกฎภูมิภาค” แถลงการณ์ของสถานทูตจีนชี้ชัดว่า จีนสนับสนุนบทบาทของมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนหมุนเวียน ในการดำเนินการไกล่เกลี่ยระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยเฉพาะการพบหารือเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งนำไปสู่ฉันทามติหยุดยิง แม้จีนจะมีโครงการขนาดใหญ่เช่น Belt and Road Initiative (BRI) ที่มักถูกมองว่าเป็นเครื่องมือครอบงำทางเศรษฐกิจ แต่ในการเจรจานี้ จีนไม่ได้นำเสนอกลไกของตน เช่น Shanghai Cooperation Organisation หรือแผนการรักษาสันติภาพจีนเอง เทียบกับยุทธศาสตร์จีนในแอฟริกา: จีนมักเสนอ peacekeeping missions และ infrastructure swap โดยตรง แต่ในอาเซียน จีนกลับลงทุน “ภาพลักษณ์” ผ่านการหนุนกลไกอาเซียน แทนที่จะเสนอระบบใหม่ นี่คือการวางยุทธศาสตร์ “อยู่ร่วมกับโครงสร้างที่มีอยู่” เพื่อป้องกัน backlash และรักษา “ASEAN centrality”…

Read More

บทนำ “วากเนอร์ กรุ๊ป” (Wagner Group) เป็นชื่อที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะในบริบทของความขัดแย้งทางทหารในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก กลุ่มดังกล่าวถูกจัดประเภทว่าเป็น “กลุ่มทหารรับจ้างเอกชน” ที่มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลรัสเซีย แม้จะไม่ได้รับการรับรองสถานะทางกฎหมายในรัสเซียอย่างเป็นทางการก็ตาม บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์บทบาทของวากเนอร์ กรุ๊ป ต้นกำเนิด โครงสร้าง ความสัมพันธ์กับรัฐรัสเซีย และผลกระทบในระดับภูมิภาคและระดับโลก 1. จุดเริ่มต้นและโครงสร้างของวากเนอร์ กรุ๊ป วากเนอร์ กรุ๊ป ถูกก่อตั้งขึ้นราวปี พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) โดยมีการระบุว่า นายดมีตรี อุตกิน (Dmitry Utkin) อดีตนายทหารกองกำลังพิเศษของรัสเซียเป็นผู้ก่อตั้งหลัก โดยใช้ชื่อ “วากเนอร์” ซึ่งเป็นชื่อรหัสเรียกขานของตนเอง โดยอ้างอิงถึงริชาร์ด วากเนอร์ คีตกวีเยอรมันในยุคศตวรรษที่ 19 ที่ได้รับความนิยมในหมู่กลุ่มชาตินิยมขวาจัด ต่อมา เยฟเกนี พริโกชิน (Yevgeny Prigozhin) นักธุรกิจชาวรัสเซียซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ได้กลายเป็นผู้สนับสนุนหลักของกลุ่ม และถูกมองว่าเป็นผู้บริหารตัวจริงของวากเนอร์ แม้ในช่วงแรกจะปฏิเสธความเชื่อมโยงอย่างเป็นทางการก็ตาม โครงสร้างภายในของวากเนอร์ กรุ๊ป มีลักษณะกึ่งทหารกึ่งเอกชน ใช้ระบบการรับสมัครแบบปิด และดำเนินกิจกรรมภายใต้ความลับสูง โดยกลุ่มนี้ไม่ได้ขึ้นตรงต่อกระทรวงกลาโหมรัสเซียอย่างเป็นทางการ แต่มีพฤติกรรมการปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ทางทหารและนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลรัสเซีย 2. บทบาทในความขัดแย้งระดับนานาชาติ นับตั้งแต่ปี 2557 วากเนอร์ กรุ๊ป ได้เข้าไปมีบทบาทในความขัดแย้งหลายแห่งทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่มีผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์หรือทรัพยากรสำคัญต่อรัสเซีย อาทิ ยูเครน: เข้าร่วมในปฏิบัติการยึดครองไครเมีย และมีส่วนในการสนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในภูมิภาคดอนบาส ซีเรีย: สนับสนุนรัฐบาลบาชาร์ อัล-อัสซาด ทั้งในภารกิจทางทหารและการรักษาความมั่นคงในพื้นที่แหล่งน้ำมัน ลิเบีย มาลี และสาธารณรัฐแอฟริกากลาง: เข้าไปมีบทบาทในการสนับสนุนรัฐบาลหรือกลุ่มติดอาวุธที่ใกล้ชิดกับมอสโก โดยแลกเปลี่ยนกับสิทธิการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ เช่น เหมืองทองคำและเพชร ลักษณะการปฏิบัติการของวากเนอร์มักใช้กลยุทธ์แบบ “ปฏิเสธได้อย่างน่าเชื่อถือ” (Plausible Deniability) ซึ่งเปิดโอกาสให้รัฐบาลรัสเซียสามารถปฏิเสธความเกี่ยวข้องได้ หากเกิดเหตุการณ์ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศหรือสิทธิมนุษยชน 3. ความสัมพันธ์กับรัฐบาลรัสเซีย แม้จะไม่มีสถานะทางกฎหมายในระบบของรัฐบาลรัสเซีย แต่หลักฐานจำนวนมากบ่งชี้ถึงความสัมพันธ์โดยตรงหรือทางอ้อมกับรัฐ อาทิ การใช้อุปกรณ์ทางทหารที่ผลิตในรัสเซีย การฝึกอบรมในฐานทัพของกองทัพรัสเซีย ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างพริโกชินกับผู้นำระดับสูงของรัฐบาล การดำเนินงานที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ทางการทูตและทหารของเครมลิน วากเนอร์จึงถูกมองว่าเป็น “แขนที่ไม่เป็นทางการ”…

Read More

ทำความรู้จัก “น้องพุดซา” ปุณณดา ประชาทิวัตถ์ ผู้ดำเนินรายการ “Once Upon a Thai” รายการที่จะพาคนรุ่นใหม่กลับไปดื่มด่ำและหลงใหลในเรื่องราวประวัติศาสตร์ ขึ้นชื่อว่า เรื่องราวในประวัติศาสตร์ แน่นอนว่าข้อมูลนั้นถูกต้องครบถ้วนและสมบูรณ์ เพราะ Once Upon a Thai ได้รับอนุญาตจาก เพจ โบราณนานมา ให้หยิบยกเรื่องราวจากในเพจมาเรียบเรียงและบอกเล่า เพื่อกระจายเรื่องราวในประวัติศาสตร์ให้คนรุ่นใหม่ได้รับฟัง และไม่ใช่เพียงแค่เรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่เธอสนใจ แต่ “น้องพุดซา” ยังหลงใหลในการออกแบบ ผลงานการออกแบบกราฟิกทุกชิ้น เธอทำมันด้วยความตั้งใจ เช่นเดียวกับโลโก้รายการ Once Upon a Thai ที่ทุกคนได้เห็นประดับอยู่ในรายการ นั่นก็เป็นผลงานการออกแบบของตัวเธอเอง สำหรับรายการ “Once Upon a Thai” คือ รายการที่จะพาทุกคนย้อนเวลาไปดื่มด่ำกับ “ประวัติศาสตร์ละมุน” พร้อมเสพสุนทรียรสจากเรื่องเล่าโบราณในรูปแบบทันสมัย แล้วคุณจะรู้ว่า ‘ประเทศไทย’ มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มากมายให้ชวนติดตาม สามารถรับชมเรื่องราวในประวัติศาสตร์อันชวนตะลึงได้ทุกวันจันทร์ และ พุธ ที่ YouTube Channel : The Publisher เตรียมตัวฟินกับอดีตไปด้วยกัน!

Read More

. ท่ามกลางสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่กำลังระอุอย่างหนักและส่งผลให้เกิดความสูญเสียอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สายตาทั่วโลกต่างจับจ้องไปยังความเคลื่อนไหวจากนานาชาติที่จะเข้ามามีบทบาทในการคลี่คลายวิกฤตนี้ นี่คือ 5 ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด 1. ผลการประชุมฉุกเฉิน UNSC: แค่เสียงเตือนหรือมีมาตรการกดดัน? . ในวันพรุ่งนี้ (26 ก.ค.) เวลา 02.00 (เวลาไทย) คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) จะจัดการประชุมแบบปิดเพื่อหารือประเด็นความขัดแย้งครั้งนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากการเรียกร้องของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนต ที่กล่าวหาว่าไทยรุกราน คำถามสำคัญคือ UNSC จะออกมาตรการที่ชัดเจน เช่น การเรียกร้องหยุดยิงทันที การส่งผู้สังเกตการณ์ หรือเพียงแค่แถลงการณ์เรียกร้องให้เจรจา สิ่งที่ออกมาจาก UNSC จะมีผลต่อท่าทีของทั้งสองฝ่ายอย่างมีนัยสำคัญ 2. บทบาทอาเซียนและ ‘คนกลาง’ ใหม่: “อันวาร์-ทักษิณ-ฮุน เซน” จะดับไฟได้จริงหรือ? . นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน 2025 ได้เริ่มบทบาทในการไกล่เกลี่ยแล้ว โดยได้ติดต่อผู้นำทั้งสองประเทศ และหวังจะพูดคุยเป็นการส่วนตัว จุดที่น่าสนใจคือ การที่อันวาร์แต่งตั้งนายทักษิณ ชินวัตร และสมเด็จฮุน เซน เป็นที่ปรึกษาอาเซียน ซึ่งถือเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลสูงในทั้งสองประเทศ แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แต่ความสัมพันธ์ส่วนตัวและประสบการณ์ของบุคคลเหล่านี้ อาจเป็นปัจจัยหนึ่งในการกำหนดท่าทีทั้งสองฝ่าย รวมถึงความสามารถของอาเซียนในการเป็นผู้ไกล่เกลี่ยในสถานการณ์ที่ซับซ้อนนี้ยังเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ 3. จุดยืนและอิทธิพลของจีน: มหาอำนาจที่ไม่เข้าข้างใคร จะเป็นตัวแปรสำคัญ? . กระทรวงการต่างประเทศจีนได้ออกมาแสดงความกังวลอย่างยิ่ง และประกาศพร้อมมีบทบาทที่ “สร้างสรรค์” ในการลดความตึงเครียด โดยยึดมั่นในจุดยืนที่เป็นกลาง จีนมีความสัมพันธ์อันดีกับทั้งไทยและกัมพูชา การเข้ามามีบทบาทของมหาอำนาจอย่างจีนอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ หากจีนตัดสินใจใช้ “อิทธิพลเงียบ” เพื่อกดดันให้ทั้งสองฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน 4. สถานการณ์ภาคพื้นดิน: ความรุนแรงจะบานปลายหรือคลี่คลาย? . ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุขเผยยอดผู้เสียชีวิตรวม 15 ราย (พลเรือน 14 ราย) และยอดอพยพทะลุ 1.3 แสนคน พร้อมกับการปิดให้บริการของโรงพยาบาลชายแดน 7 แห่ง กองทัพภาคที่ 2 ยังคงออกคำสั่งอพยพเร่งด่วนใน 5 อำเภอที่เสี่ยงภัยจากจรวดพิสัยไกล 40 กม. คำถามคือ การสู้รบจะยังคงรุนแรงต่อไป…

Read More

ทวงสัญญา “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้” ของพรรคภูมิใจไทย หลังผ่านไปสองปี ยังไม่มีใครเห็นแผงโซลาร์ หรือมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าตามที่ประกาศ โปสเตอร์สีน้ำเงินสดใสของพรรคภูมิใจไทยเคยประกาศนโยบายพลังงานสะอาดไว้ชัดเจนว่า: “ฟรีหลังคาโซล่าเซลล์ ลดค่าไฟฟ้าหลังคาเรือนละ 450 บาท”“มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ผ่อนเดือนละ 100 บาท 60 งวด” แต่วันนี้ผ่านมาแล้ว สองปีเต็ม หลังการเลือกตั้ง ปี 2566…นโยบายที่เคยขายฝันให้ประชาชน “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้” ยังไร้เงาไม่มีโครงการโซลาร์ฟรีบนหลังคาไม่มีมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าผ่อน 100 บาทไม่มีแม้แต่ “เครดิตพลังงาน” ที่เคยอ้างว่าจะให้ใช้แทนค่าไฟ ทั้งที่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรค ก็นั่งเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คุมทั้ง กฟผ. กฟภ. และ กฟน.มีอำนาจในมือ แต่กลับไม่มีนโยบายใดขยับออกมาอย่างเป็นรูปธรรม——-รสนา ขยี้นโยบาย: “พูดแล้วทำ…จะทำกี่โมง?” คุณ รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว. และประธานอนุกรรมการด้านพลังงานฯ สภาผู้บริโภค ออกโรงทวงถามเช่นกันว่าหาก “พูดแล้วทำ” จริง รัฐมนตรีมหาดไทยก็สามารถ “สั่งการได้ทันที” อย่างน้อย 2 แนวทางที่ไม่ต้องใช้งบประมาณแม้แต่บาทเดียว: เปิดทาง Net Meteringให้ประชาชนที่ติดโซลาร์บนหลังคาสามารถหักลบหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้กับหน่วยที่ใช้ เช่น ผลิตได้ 100 หน่วย ใช้ 200 หน่วย ก็จ่ายแค่ 100 หน่วยที่เกิน“นโยบายนี้ไม่ต้องใช้เงินรัฐสักบาท แค่สั่ง กฟน. กับ กฟภ. ให้ดำเนินการ” เปิดทาง Net Billingให้ กฟน. และ กฟภ. รับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินจากโซลาร์บนหลังคาประชาชนขนาด 5–10 kW ตามราคาที่รัฐกำหนดทั้งช่วยเพิ่มรายได้ให้ประชาชน และลดภาระการผลิตไฟฟ้าของรัฐเอง——จากคำพูด…ถึงความเงียบ ประชาชนที่เลือกพรรคภูมิใจไทยเพราะเชื่อว่า “พูดแล้วทำ”วันนี้เริ่มตั้งคำถามว่า หรือเป็นเพียง “พูดแล้วเงียบ?” เพราะสิ่งที่เห็น คือ– ค่าไฟยังสูง– โซลาร์หลังคายังต้องควักเงินเอง– รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในราคาประชาชนไม่มีจริง– แม้แต่การเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากประชาชนก็ยังติดล็อกระบบราชการและผลประโยชน์กลุ่มทุน และหากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งคุมหน่วยงานด้านไฟฟ้าทั้งระบบ ไม่สามารถเริ่มจาก…

Read More