“ยืนงงในดงทุจริต” เมื่อกระบวนการยุติธรรมเปิดช่องให้โกงแล้วรอด ทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง 26 โครงการ มูลค่ากว่า 81 ล้านบาท ศาลสั่งจำคุก 50 ปี…แต่ให้รอลงอาญา!
นี่คือความจริงของระบบยุติธรรมไทยที่ทำให้หลายคนต้องตั้งคำถามว่า แบบนี้จะไม่เป็นการเปิดช่องให้คนโกงกล้าทุจริตกันมากขึ้นหรือ?
คดีทุจริตใหญ่ แต่โทษเบาหวิว
ย้อนกลับไปดูเส้นทางของ นายกิตติทัศน์ วิศาลนพศักดิ์ หรือ วัทธิกร หรือมังกร ใสงาม อดีตพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี และสุรินทร์ พบว่า ถูก คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด คดีร่ำรวยผิดปกติ มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติกว่า 81 ล้านบาท จากการทุจริตโครงการจัดซื้อจัดจ้าง 26 โครงการ ระหว่างปี 2554-2557 ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทของตนเอง จนถูก ไล่ออกจากราชการ ต่อมาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 พิพากษาจำคุก 130 ปี 78 เดือน และปรับ 2,652,000 บาท ได้รับการลดโทษจากการรับสารภาพ คงเหลือ จำคุก 50 ปี ปรับ 1,326,000 บาท แต่ศาลกลับให้รอลงอาญา 5 ปี และให้คุมประพฤติ แทนที่จะติดคุก!
คุกมีไว้ขังคนจน? คนโกงได้รอลงอาญา?
คดีนี้ทำให้เกิดคำถามว่ามีช่องโหว่ของกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ สาเหตุที่ศาลให้รอลงอาญามักเป็นเพราะจำเลย รับสารภาพ และอ้างว่าให้ความร่วมมือกับกระบวนการยุติธรรม ซึ่งทำให้ได้รับ “ความเมตตา” จากศาล
แต่ถ้าคิดในทางกลับกัน คนโกงเพียงแค่ รับสารภาพและคืนเงินบางส่วน ก็สามารถหลุดพ้นจากโทษจำคุกได้ จะทำให้เกิดการเข็ดหลาบหรือ?
ถ้าเราลองเปรียบเทียบกับคดีอื่น ๆ เช่น
• คดีขโมยของในร้านสะดวกซื้อ บางคนถูกจำคุกทันที
• คดีหมิ่นประมาทบางกรณี มีโทษหนักกว่าคดีโกงเงินภาษีประชาชน
การที่ นักการเมืองหรือข้าราชการโกงแล้วไม่ต้องติดคุกจริง จะยิ่งเป็นการส่งสัญญาณผิด ๆ ให้กับระบบราชการว่า “โกงไปเถอะ ถ้าถูกจับได้ก็ค่อยรับสารภาพ แล้วก็รอดอยู่ดีหรือไม่?”
ใครได้-ใครเสีย?
• “คนโกง” ได้ประโยชน์เต็ม ๆ แค่ยอมรับผิดก็ไม่ต้องติดคุก
• “ประชาชน” เสียหาย เพราะเงินภาษีถูกโกง แถมคนโกงยังไม่ต้องรับโทษจริง
• “ระบบยุติธรรม” เสียความน่าเชื่อถือ เพราะถูกมองว่าลงโทษแบบอ่อนข้อให้คนโกง
โทษรอลงอาญาควรมีขอบเขตแค่ไหน?
การให้รอลงอาญา ควรใช้กับคดีที่ไม่ได้กระทบต่อสาธารณะอย่างรุนแรง เช่น คดีทะเลาะวิวาท หรือคดีที่ไม่ได้มีการแสวงหาประโยชน์จากเงินภาษีประชาชน
แต่ “คดีทุจริตเงินแผ่นดิน” ควรเป็นคดีที่มีโทษหนัก และต้องจำคุกจริง เพื่อเป็นเยี่ยงอย่าง
ถึงเวลาต้องแก้กฎหมาย เอาผิดคนโกงให้หนักกว่านี้!
1. คดีทุจริตเงินแผ่นดิน ต้องไม่มีรอลงอาญา
2. ศาลต้องพิจารณาผลกระทบต่อประชาชน มากกว่าการให้ความเมตตากับคนโกง
3. เพิ่มโทษจำคุกให้เป็นตัวอย่าง เพื่อสร้างบรรทัดฐานใหม่
ถ้าคดีแบบนี้ยังรอลงอาญา คนจะกล้าโกงมากขึ้น!
คดีนี้อาจเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่าระบบยุติธรรมไทยยังคงมีช่องโหว่ให้กับผู้ที่มีอำนาจ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลง คนโกงจะมีแต่ ความกล้าและมั่นใจ ว่าไม่ต้องรับโทษจริง ขณะที่ประชาชนต้องเฝ้าดูการทุจริตเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยที่ไม่มีใครต้องรับผิดชอบอย่างแท้จริง
(ขอบคุณข้อมูลคดีจากสำนักข่าวอิศรา)