2 สิงหาคมที่ผ่านมา เกิดประเด็นสะเทือนไปถึงรัฐบาลทันที เมื่อ “คนครอบครอง” รัฐบาลและนายกฯ แพทองธาร คือนายทักษิณ ชินวัตร กลายเป็นนักโทษที่ได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ ให้อยู่โรงพยาบาลตำรวจแบบที่มีหลายหน่วยงานเข้าด้วยช่วยเหลือ จากผลสรุปของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน หรือ กสม. โดยพบประเด็นปัญหาดังนี้
1.เรือนจำพิเศษส่งตัวนายทักษิณไปรักษาที่ รพ.ตำรวจแบบเลือกปฏิบัติ
2.การพักรักษาตัวนาน 181 วัน ขาดความโปร่งใสในการรายงานอาการป่วย
3.ทักษิณหายป่วยเร็ว หลังได้รับการพักโทษ ทั้งที่เคยอ้างอาการวิกฤต
4.กรมราชทัณฑ์ไม่สามารถตรวจสอบการใช้ห้องพิเศษของผู้ต้องขังได้
5.การกระทำของเรือนจำและรพ.ตำรวจ เข้าข่ายเลือกปฏิบัติ
6.ละเมิดหลักความเสมอภาคและสิทธิมนุษยชน
7.ใช้ช่องโหว่กฎกระทรวงยุติธรรม เอื้อต่อการเลือกปฏิบัติ
ผลจากข้อสรุปดังกล่าว กสม.ส่งเรื่องให้ป.ป.ช.ตรวจสอบการทุจริตประพฤติมิชอบของ รพ.ตำรวจและเรือนจำพิเศษ รวมถึงส่งแพทยสภาตรวจสอบจริยธรรมแพทย์ และแนะนำให้มีการทบทวนแก้ไขกฎกระทรวงฯ เพื่อป้องกันการเลือกปฏิบัติ เพิ่มความโปร่งใสในการรายงานข้อมูลผู้ต้องขัง
ขณะที่ความพยายามที่จะตรวจสอบเรื่องนี้ของกรรมาธิการความมั่นคงฯ ที่มีนายรังสิมันต์ โรม เป็นประธานฯ ก็พบความผิดปกติ และพิรุธที่ไม่แตกต่างจากผลสรุปของ กสม. โดยนายรังสิมันต์ ถึงกับออกปากว่า นับตั้งแต่เขาประชุมกมธ.มา 53 ครั้ง ไม่เคยมีครั้งไหนที่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานฯ น้อยขนาดนี้ แต่จะยังแสวงหาความจริงต่อไป ซึ่งการให้ความร่วมมือน้อยเช่นนี้ยิ่งเป็นพิรุธ สร้างความเคลือบแคลงสงสัยให้ประชาชนต่อไป ไม่เป็นผลดีต่อระบบยุติธรรมไทย