ดร.ประชา คุณธรรมดี กรรมการเจ้าหนี้ บมจ.การบินไทย เปิดเผยกับ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ถึงผลการพิจารณาของศาลล้มละลายกลาง เกี่ยวกับการแก้ไขแผนฟื้นฟูของการบินไทย 3 ฉบับ ว่า ศาลฯ เริ่มพิจารณาจากคำร้องว่าการแก้ไขทั้ง 3 ฉบับ มีความจำเป็นหรือไม่ โดยฉบับแรกที่ขอลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (Par Value) เพื่อล้างผลขาดทุนสะสมหลักทรัพย์ที่มีประมาณ 60,000 ล้านบาท ศาลฯ เห็นว่าเป็นอำนาจผู้บริหารแผนฯ อยู่แล้ว ส่วนกรณีการขอพิจารณาชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟู โดยการบินไทยจะเสนอชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ก่อนกำหนด เป็นจำนวนเงินไม่น้อยกว่าจำนวนเงินปันผลที่จะมีการเสนอจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นในครั้งนั้น ๆ ศาลฯ ก็เห็นว่าเป็นอำนาจของผู้บริหารแผนฯ อยู่แล้ว
ส่วนประเด็นที่ 3 ที่ขอเพิ่มผู้บริหารแผนฟื้นฟู 2 ราย ประกอบด้วย นายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบาย และแผนการขนส่ง และจราจร กระทรวงคมนาคม และนายพลจักร นิ่มวัฒนา รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง ศาลฯ เห็นว่าไม่จำเป็น เนื่องจากผู้บริหารแผนฯ ที่มีอยู่สามคน ก็ทำงานได้อย่างดี ไม่ปรากฏมีข้อติดขัดใด ๆ
“เมื่อพิจารณาว่าไม่จำเป็นต้องแก้ไขแผนทั้ง 3 ฉบับ ประเด็นที่สองเรื่องการจัดประชุมเจ้าหนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ก็ไม่ต้องพิจารณาต่อ โดยผลจากคำสั่งของศาลฯ จะทำให้ไม่มีการเพิ่มตัวแทนผู้บริหารแผนฯ จากภาครัฐเข้าไปอีกสองคน ตามที่เจ้าหนี้และหลายฝ่ายมีความกังวลว่า การเมืองจะเข้าไปแทรกแซงการบริหารของการบินไทย ผมคิดว่าเจ้าหนี้ก็พอใจ เพราะไม่มีผู้บริหารแผนฯ เพิ่ม น่าจะทำงานได้ดีและเร็วขึ้นด้วยซ้ำ และคิดว่าเมื่อออกจากแผนแล้วมีเงินจ่ายเจ้าหนี้ได้ก็เพียงพอ”
ดร.ประชา กล่าวด้วยว่า การบริหารการบินไทยหลังจากนี้ขึ้นอยู่กับผู้บริหาร ซึ่งจะต้องเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้น โดยสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ที่มีความกังวลว่าการเมืองจะเข้ามาแทรกแซง ก็แสดงให้เห็นเป็นรูปธรรมแล้วจากการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่พลาดเป้าไปแม้จะไม่มาก แต่สะท้อนว่า ตลาดไม่รับกับเรื่องการแทรกแซงการบินไทย เพราะฉะนั้นในโอกาสที่มีคำสั่งศาลฯ แล้ว ก็ควรพัฒนาการบินไทยร่วมกัน เลือกผู้บริหารที่สอดคล้องกับการพัฒนาการบินไทย ทั้งภาครัฐ เจ้าหนี้และผู้ลงทุนทั่วไป จะทำให้การบินไทยรอด และรอดอย่างดีด้วย เพราะต่อจากนี้การบริหารจะเป็นไปตามกรอบของกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการมีผู้บริหารตามสิทธิของการถือหุ้น ถ้าเราเห็นเป้าหมายร่วมกัน กระทรวงการคลังหรือภาครัฐ ต้องเห็นว่า จะต้องเลือกผู้บริหารที่สามรถนำพาการบินไทยไปตลอดรอดฝั่งได้ โดยหลังจากนี้น่าจะได้เห็นหน้าตาผู้บริหารได้อย่างเร็วในช่วงเดือนเมษายน จากนั้นออกจากแผนฟื้นฟูประมาณกันยายนหรือมิถุนายนเข้าสู่ระบบตลาด ที่เหลือจะเป็นเรื่องปัจจัยภายนอกมาเป็นตัวกำหนด ทั้งราคาน้ำมัน กลไกต่าง ๆ ที่จะกดดันการทำงานของธุรกิจ ถ้าได้ผู้บริหารที่ตอบสนองภาวะกดดันทางธุรกิจได้ ก็จะเป็นเรื่องที่ดี การบินไทยจะเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง