บทความโดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร
เห็น “ทักษิณ” ปวารณาตัวเองว่ามีตำแหน่ง สทร. หรือ เสือกทุกเรื่อง ไม่เพียงแสดงบทบาทนำให้รัฐบาลเดินตาม แต่ยังฟาดงวงฟาดงาแสดงอาการไม่ยอมรับ ไม่สำนึกผิด บิดเบือนว่าคดีความต่าง ๆ ที่ถูกตัดสินล้วนถูกยัดเยียด ทำให้นึกไปถึงตอนที่เขาได้รับชัยชนะในคดีซุกหุ้นภาค 1 ด้วยคะแนนเสียง 8 ต่อ 7 ในตอนนั้นเขารีบออกมาขอบคุณตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากทันที แต่ในภายหลังไม่ว่าจะมีคำตัดสินจากศาลฯ ใด หากเป็นโทษเขาก็กล่าวหาว่า ”กระบวนการยุติธรรมไทย“ คือ ”กระบวนการยุติความเป็นธรรม“
วิธีคิดเช่นนี้สรุปได้คำเดียว่า ”เห็นแก่ตัว“ อะไรได้เอา เสียไม่รับ ทำให้อดนึกถึงคำวินิจฉัยส่วนตนของท่านประเสริฐ นาสกุล อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการฯ เสียงข้างน้อยที่ชี้ว่า ”ทักษิณ“ ทำผิดในคดีซุกหุ้นภาคแรกไม่ได้
เป็นเสียงสะท้อนจากอดีตยังคงดังก้องอยู่จนถึง แม้จะเป็นเสียงข้างน้อย แต่กลับทรงพลังด้วยเนื้อหาที่เปี่ยมไปด้วยข้อคิด เตือนสติ และสะท้อนปัญหาการเมืองไทยที่ยังคงวนเวียนซ้ำรอยเดิม
“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร” ประโยคสั้นๆ แต่หนักแน่นไปด้วยความหมาย ท่านประเสริฐ ได้ชี้ให้เห็นถึงแก่นแท้ของการเมืองที่นักการเมืองทุกคนพึงตระหนัก หากผู้ใดมุ่งหวังแต่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง ย่อมมิอาจ “เห็นแก่มวลชน” ได้อย่างแท้จริง ศีลธรรมและความซื่อสัตย์สุจริตจึงเป็นคุณสมบัติสำคัญยิ่งที่นักการเมืองพึงมี เหนือยิ่งกว่าคนธรรมดาสามัญ
คำวินิจฉัยส่วนตนของท่านประเสริฐ ยังได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของการเมืองไทย เช่น การใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ส่วนตน การผูกขาดผลประโยชน์ในกลุ่มทุนใกล้ชิด การใช้เล่ห์เหลี่ยมทางธุรกิจเพื่อปกปิดความมั่งคั่ง “เป็นการประกอบธุรกิจตามปกติ ธรรมดาที่ใครๆ ก็ทำกันอย่างนั้น” วลีนี้คุ้นหูสะท้อนค่านิยมที่บิดเบี้ยวในสังคม การแสวงหาผลกำไร ความโลภ และการไม่คำนึงถึงศีลธรรม ล้วนเป็นภัยเงียบที่ค่อยๆ กัดกร่อนสังคมไทย
ท่านประเสริฐ ยังตั้งคำถามถึงความจริงใจในการเข้าสู่เส้นทางการเมือง การโอนอำนาจธุรกิจให้กับครอบครัว แต่ยังคงถืออำนาจอยู่เบื้องหลัง เป็นเพียงฉากบังหน้าเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี แต่ขาดความโปร่งใสและไร้ซึ่งการแก้ไขปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างแท้จริง
“ปัญหาบ้านเมืองบางอย่าง อาจแก้ไขได้โดยไม่ต้องใช้เงินทองเลย เพียงแต่ผู้นำของประเทศต้องประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดี” ข้อความนี้ตอกย้ำถึงความสำคัญของผู้นำที่มีคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต และเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ประชาชน การแก้ปัญหาของชาติไม่ใช่เพียงการใช้เงินทอง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจ การลด ละ เลิก “ความเห็นแก่ตัว” และการสร้างสังคมที่เป็นธรรม
คำวินิจฉัยของท่านประเสริฐ จึงมิใช่เพียงการตัดสินคดีความ แต่เป็นเสมือนกระจกสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคมไทย เป็นเครื่องเตือนใจนักการเมืองให้ตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ และยึดมั่นในศีลธรรม เพื่อนำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญอย่างยั่งยืน
น่าเสียดายที่คนเดิมในคำวินิจฉัย กลับยังมีพฤติกรรมเดิม และสังคมไทยก็กำลังกลับไปสู่วังวนเดิมแห่งความขัดแย้งที่นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้นอีกครั้ง