ผศ.นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เปิดเผยกับ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ถึงกรณีที่ ป.ป.ช.เชิญไปให้ข้อมูลคดีป่วยทิพย์ของนายทักษิณ ชินวัตร ที่ ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ว่า ข้อมูลที่จะชี้ให้ป.ป.ช.เห็นถึงพิรุธว่านายทักษิณไม่ได้ป่วยวิกฤต เริ่มตั้งแต่กระบวนการวินิจฉัยว่านายทักษิณป่วยวิกฤตก่อนส่งตัวไปที่โรงพยาบาลตำรวจ ก็ไม่มีปรากฏเลยว่ามีแพทย์ท่านใดได้ตรวจนายทักษิณ จึงน่าจะมีผู้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อช่วยเหลือนายทักษิณ เพราะถ้ามีอาการหนักจริงต้องส่งเข้าห้องฉุกเฉินแต่ไม่ปรากฏว่านายทักษิณเคยเข้าห้องฉุกเฉินแต่อย่างใด อีกทั้งการส่งตัวไปโรงพยาบาลตำรวจก็ดำเนินการอย่างรวดเร็วเพียงแค่ 21 นาทีเท่านั้น เหมือนมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว เมื่อส่งไปรพ.ตำรวจก็ตรงไปที่ชั้น 14 เลย อีกทั้งแพทย์ที่ออกใบรับรองแพทย์ทั้งก็เป็นศัลยแพทย์ไม่ใช่แพทย์เฉพาะทางตาม 4 โรคที่อ้างว่านายทักษิณป่วยอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เส้นเลือดตีบ ความดันโลหิตสูง โรคปอด และกระดูกสันหลังเสื่อม ไม่มีการให้ความเห็นแพทย์เฉพาะทางสี่โรคที่นายทักษิณเป็นเลย นอกจากนี้ยังพบว่ากรมราชทัณฑ์ไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงที่กำหนดว่า ห้ามนักโทษเข้าอยู่ห้องพักพิเศษแยกจากผู้ป่วยทั่วไป เว้นแต่ต้องพักรักษาตัวในห้องควบคุมพิเศษในสถานที่รักษาผู้ต้องขัง แต่นายทักษิณกลับได้รับการพักรักษาตัวอยู่ในห้องพิเศษแยกจากผู้ป่วยอื่น และอาการไม่วิกฤตเพราะไม่ได้อยู่ห้องไอซียู ในฐานะที่เป็นแพทย์มา 37 ปี สรุปจากข้อมูลทั้งหมดได้ว่า นายทักษิณไม่ได้ป่วยวิกฤตจริง โดยมีแพทย์หลายคนที่เป็นผู้บริหารในโรงพยาบาลตำรวจจะต้องถูกสืบสวนต่อไปว่า ได้ช่วยเหลือนายทักษิณพ้นคุกโดยทุจริตหรือไม่
“สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนว่านายทักษิณ โกงทุกอย่างแม้กระทั่งโกงการติดคุก เพราะนายทักษิณไม่ได้ป่วยจริงการใส่ปลอกคอคล้องแขนเป็นเพียงแค่ปาหี่หลอกลวงคนทั้งประเทศ ไม่กี่วันก็เอาออกแล้ว กระบวนการบังคับโทษมีปัญหาตั้งแต่ 180 วันแรก ไปจนถึงการพักโทษก็มีพิรุธ เพราะการพักโทษกรณีป่วยต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียง แต่นายทักษิณไม่ได้ป่วยแบบนั้น จึงคิดว่าจะมีการดำเนินการเกี่ยวกับการพักโทษต่อเนื่องไปด้วย“ ผศ.นพ.ตุลย์ กล่าว
ผศ.นพ.ตุลย์ ยังกล่าวถึงการผ่าตัดออโธปิดิกส์ ในระหว่างพักรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจว่า ยิ่งเป็นพิรุธว่านายทักษิณไม่ได้ป่วยวิกฤตจริง เพราะหากป่วยหนักแพทย์จะไม่ทำการผ่าตัดให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีโรคหัวใจอยู่ด้วย เพราะการผ่าตัดมีภาวะที่อาจทำให้เส้นเลือดเกร็ง ขาดออกซิเจนได้ จึงตั้งข้อสังเกตว่าการผ่าตัดนั้นอาจเป็นการหาเหตุให้ พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ที่จะต้องรับรู้เกี่ยวกับการพักรักษาตัวเกิน 120 วันนอกเรือนจำ เพราะต้องรายงานรมว.ยุติธรรม
“พอข่าวนี้ออกมาแพทย์ออโธปิดิกส์จำนวนมาติดต่อมาว่า ให้บอกไปได้เลยว่าไม่มีใครเขาทำกัน ถ้าคนไข้ยังวิกฤตอยู่ก็ต้องรอ 6 เดือน ที่สำคัญคือถ้าส่องกล้องจริงไม่เกิน 3 วันกลับคุกได้ เพราะถ้าส่องกล่องได้แสดงว่าไม่วิกฤต คนไข้ที่ได้รับการผ่าตัดส่องกล้อง 2-3 วันกลับบ้านได้ทุกคน ไม่มีใครแอดมิทเพิ่มอีก 60 วัน เหมือนนายทักษิณ น่าจะเป็นการหาเหตุให้ พ.ต.อ. ทวีมากกว่า ข้อสงสัยทั้งหมดจะชัดเจนเมื่อได้เห็นเวชระเบียนเพราะต้องมีการบันทึกทั้งหมด แพทย์ที่เกี่ยวข้องต้องเซ็นด้วย แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีการส่งเวชระเบียน ซึ่งน่าจะเป็นเพราะส่งไม่ได้ เพราะไม่มีหมวดโรคหัวใจ ส่องกล้องก็ไม่มีเหตุผลต้องอยู่ต่อถึง 180 วัน ผมจอขอให้ป.ป.ช.เชิญแพทย์ที่ทำการผ่าตัดนายทักษิณให้ข้อมูลว่า ขณะผ่าตัดนายทักษิณป่วยวิกฤตหรือไม่ พิรุธว่านายทักษิณป่วยทิพย์นั้น เห็นตั้งแต่วันแรก เพราะตอนกลับถึงประเทศไทย ไม่มีร่องรอยของอาการเจ็บป่วย” ผศ.นพ.ตุลย์ กล่าว
ส่วนข้อกังวลว่าจะมีการแก้ไขเวชระเบียนนั้น ผศ.นพ.ตุลย์ กล่าวว่า หากกล้าก็แก้เลย เพราะทุกอย่างต้องมีลายเซ็นแพทย์ ใครเซ็นก็ต้องรับผิดชอบ เท่าที่ทราบเขาใช้แพทย์ที่ใกล้เกษียณ และมีบางคนเกษียณไปแล้ว เพราะแพทย์เขากลัวเรื่อง 157 เพราะมีหลายอย่างมากที่เป็นพิรุธ
“คนอาจคิดว่าเราจะจับได้เฉพาะแพทย์ที่ช่วยนายทักษิณ แต่ในที่สุดผมเชื่อว่าศาลฎีกาฯ น่าจะมีคำสั่งให้นายทักษิณกลับเข้าคุก เพราะพ้นโทษโดยทุจริต มีพระบรมราชโองการให้จำคุกหนึ่งปี แต่ไม่ได้จำคุกเลยผิดจากทั้งคำพิพากษาและพระบรมราชโองการ ดังนั้นกระบวนการทั้งหมดต้องย้อนกลับมานับหนึ่งใหม่คือเข้าคุก นี่คือสิ่งสุดท้ายที่นายทักษิณต้องโดน” ผศ.นพ.ตุลย์ กล่าวทิ้งท้าย