นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล ประธานกรรมาธิการการปกครอง เปิดเผยกับ The Publisher ถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบมูลนิธิอนุรักษ์ช้างและสิ่งแวดล้อม (Elephant Nature Park: ENP) จังหวัดเชียงใหม่ เกี่ยวกับการบริหารจัดการสวัสดิภาพสัตว์ การอพยพเคลื่อนย้ายที่ล่าช้ากรณีเกิดอุทกภัยจนทำให้ช้างล้มไป 2 เชือก รวมถึงประเด็นประโยชน์ทับซ้อนระหว่างมูลนิธิและบริษัท ENP ซึ่งเริ่มมีการตรวจสอบตามคำร้องมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 ว่า เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568 คณะกรรมาธิการการปกครองได้เข้าเยี่ยมชมการดำเนินงานของมูลนิธิฯ โดยนางสาวแสงเดือน ชัยเลิศซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งนำเยี่ยมชม และอธิบายในประเด็นที่คณะกรรมาธิการการปกครองและคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ของจังหวัดเชียงใหม่ยังมีข้อสงสัย โดยเฉพาะในประเด็นสวัสดิภาพช้าง จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อต้นเดือนตุลาคม ปีที่แล้ว 2567 คาดว่าการสืบหาข้อมูลจะจบภายในเดือนมกราคมนี้
”ตอนนี้มีการตรวจสอบว่าการดำเนินการเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือไม่ เงินที่รับบริจาคมาใช้ตรงตามวัตถุประสงค์หรือเปล่า และการดูแลสัตว์มีการทรมานหรือไม่ ได้มาตรฐานการเป็นปางช้างที่กรมปศุสัตว์กำหนดหรือเปล่า ซึ่งทางจังหวัดและกรมปศุสัตว์อยู่ระหว่างดำเนินการ คาดว่าจะสรุปได้ภายในเดือนมกราคมนี้ เมื่อส่งเรื่องมายังกรรมาธิการฯ ก็น่าจะสรุปได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ เราให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย หวังว่าบทสรุปที่ได้จะช่วยคลายความสงสัย และเกิดการปรับปรุงเพื่อให้เป็นไปตามระเบียบของกรมปศุสัตว์“ นายกรวีร์ กล่าว
ปธ.กมธ.ปกครอง กล่าวด้วยว่า กรมปศุสัตว์ ได้มีการตั้งคณะกรรมการฯ ตรวจสอบสองส่วนคือ สืบหาข้อเท็จจริง และพิจารณาในแง่กฎหมายว่า มีการทำผิดกฎหมายเรื่องการทรมานสัตว์หรือไม่ โดยใกล้จะได้ข้อสรุปแล้ว หลังสอบเสร็จจะมีคำตอบว่าการเลี้ยงแบบขังคอกกระทบกับสวัสดิภาพช้างหรือไม่ ตรงไหนที่ยังทำไม่ถูกก็ต้องมีคำแนะนำให้ปางช้างไปปรับปรุงต่อไป
ก่อนหน้านี้เกิดดรามาเกี่ยวกับปางช้างดังกล่าว หลังเกิดเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคม 2567 จนทำให้ช้างพังฟ้าใส-พังพลอยทอง ช้างตาบอด 2 เชือกจน้ำตาย ขณะที่ปางช้างอื่น ๆ กลับสามารถเคลื่อนย้ายช้างไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยได้ เพราะมีการขนย้ายตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน หลังได้รับคำเตือนเรื่องน้ำป่า แต่ปางฯ ดังกล่าวกลับยังเปิดรับนักท่องเที่ยวจนถึงวันที่ 4 ตุลาคม 2567 ทำให้เคลื่อนย้ายช้างไม่ทัน