ท้องฟ้าประเทศไทยอึมครึมด้วยหมอกควันและฝุ่น PM 2.5 ตั้งแต่กลางเดือนมกราคม 2568 จนถึงปัจจุบัน หลายพื้นที่อยู่ในระดับวิกฤต โดยเฉพาะกรุงเทพฯและปริมณฑลที่บางจุดค่าฝุ่นพุ่งทะลุเกินมาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชน แม้ในปัจจุบันสถานการณ์จะดูคลี่คลายลงไปบ้างแต่อีกไม่นาน “ฝุ่นพิษ” กำลังจะกลับมาปกคลุมเมืองอีกครั้ง
รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เร่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยมาตรการต่าง ๆ เช่น ปิดโรงเรียน สนับสนุนให้ทำงานที่บ้าน (WFH) ควบคุมรถบรรทุก บังคับใช้กฎหมาย และ เปิดให้บริการรถสาธารณะฟรี พร้อมประกาศยกระดับปัญหาฝุ่นพิษเป็น “วาระแห่งชาติ” จนเกิดคำถาม “ชาตินี้หรือชาติหน้า”
มีแผนแต่ไม่ทำ วาระแห่งชาติก็ช่วยไม่ได้
เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่ “ฝุ่นพิษ” ถูกยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ เนื่องจากในปี 2562 ยุครัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ก็เคยประกาศมาแล้ว พร้อมแผนแม่บทระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว กำหนดไทม์ไลน์การแก้ไขระหว่างปี 2562-2567 สถานการณ์มีแนวโน้มดีขึ้น กระทั่งกลับมาปะทุหนักในรัฐบาลแพทองธาร เนื่องจากตั้งแต่ปี 2566 ที่มีการเปลี่ยนรัฐบาลได้ 2 นายกฯ จากพรรคเพื่อไทยมาบริหารประเทศ การดำเนินการตามแผนก็ขาดความต่อเนื่อง จนทุกอย่างเลวร้ายลง
มีสถิติชี้ชัดจากข้อมูลของ ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม เปิดเผยกับ The Publisher ว่า นับตั้งแต่ปี 2563-2565 จำนวนวันที่มีปริมาณฝุ่นอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานดีขึ้น จุดความร้อนและผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจก็ลดลงมาโดยตลอด เช่น จุดความร้อนจาก 146,000 จุดในปี 63 เหลือแค่ 53,643 จุดในปี 65 แต่ในปี 66 เพิ่มเป็น 178,230 จุด ส่วนผู้ป่วยทางเดินหายใจจาก 1,116,000 กว่าคน ในปี 63 ลดลงเหลือแค่ 9 แสนกว่าคนในปี 65 แต่กลับพุ่งสูงขึ้นแบบก้าวกระโดดอยู่ที่ 2.3 ล้านคนในปี 66 หลังเปลี่ยนรัฐบาล สะท้อนชัดมีแผนแต่ไม่ทำ คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถแก้ไขฝุ่นพิษที่ต้นตอได้
มาตรการใหม่ที่ไม่มีอะไร “ใหม่”
หลังประกาศเป็นวาระแห่งชาติ รัฐบาลกำหนดโรดแมปสำคัญให้หลายกระทรวงดำเนินการ แต่ดูไส้ในแล้วแทบไม่มีอะไรต่างไปจากมาตรการที่เคยกำหนดเป็นแผนในสมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ สิ่งที่ประเทศต้องการจึงไม่ใช่มาตรการที่ออกมาซ้ำซาก แต่เป็นการปฏิบัติที่ต้องทำให้เกิดผล และทำอย่างต่อเนื่องไม่ใช่ ฝุ่นมาแล้วถึงค่อยขยับ จะขับเคลื่อนก็เมื่อถูกด่า แบบนี้ไม่ว่าจะประกาศวาระแห่งชาติอีกกี่รอบ อาจรอได้แค่ชาติหน้าที่จะได้ผล