พล.ท. ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาฯ สภาความมั่นคงแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” ถึงกรณีการตัดไฟฟ้าที่จ่ายไปยังประเทศเมียนมา เพื่อสกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ว่า สภาความมั่นคงแห่งชาติต้องเป็นเจ้าภาพ เพราะในสภาความมั่นคงแห่งชาติมีหน่วยงานด้่านความมั่นคงอยู่ครบถ้วน โดยประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ จะหยิบยกขึ้นมาเพื่อเรียกประชุมด่วน มีมติเรื่องนี้ก็ได้ และทันทีที่มีมติก็แจ้งไปที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคก็จะดำเนินการตัดไฟฟ้าได้ทันที เพราะเรื่องนี้ชัดเจนว่ากระทบความมั่นคงประเทศ และในสัญญาระบุไว้อยู่แล้วว่าเราสามารถตัดไฟฟ้าได้
“เรื่องนี้เป็นเรื่องระดับนโยบายเพราะไฟฟ้าที่ขายไปมีความถูกต้องชอบธรรม แต่สถานการณ์มันเปลี่ยนแปลงไปจากธุรกิจสีขาวกลายเป็นเทาและดำ ถ้าจะให้การไฟฟ้าฯ ตัดไฟฟ้า ก็ต้องมีหนังสืออย่างเป็นทางการไป เพื่อให้ใช้เป็นเหตุผลในการแจ้งคู่สัญญา ระดับนโยบายทั้งนายกฯ หรือ นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ดูแลความมั่นคง ควรเร่งดำเนินการเพื่อจบปัญหาโดยเร็ว แต่ที่ยังล่าช้ากันอยู่อาจเป็นเพราะนายกฯ เพิ่งเข้ามายังหันรีหันขวาง ขาดประสบการณ์ ดังนั้นสภาความมั่นคงฯ อาจเสนอไปก็ได้ จะได้รีบแก้ไข เพราะตอนนี้ภูมิภาคอาเซียนถูกมองว่าเป็นแหล่งอาชญากรรมข้ามชาติรวมถึงไทยด้วย ซึ่งส่งผลกระทบในหลายมิติ ทั้งเรื่องความมั่นคง และเศรษฐกิจ รวมถึงความเสี่ยงที่จะถูกลดอันดับสถานการณ์การค้ามนุษย์ ที่ปัจจุบันอยู่ในระดับ “Tier 2” ด้วย“ พล.ท.ภราดร กล่าว
อดีตเลขาฯ สภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวด้วยว่า การที่ทางการจีนส่งนายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะ มาประสานงานในประเทศไทย เป็นการสะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหา และน่าจะเป็นแรงกระตุ้นให้รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการแก้ปัญหานี้อย่างจริงจังด้วย ซึ่งปัญหาคอลเซ็นเตอร์ต้องยอมรับความจริงว่า จีนเทาเหล่านี้หนีออกมาจากประเทศจีนกระจัดกระจายไปอยู่ตามประเทศต่าง ๆ รวมถึงไทยด้วย จึงต้องแก้ปัญหาร่วมกันระหว่างประเทศ เพราะตอนนี้ภาพลักษณ์อาเซียนเสียหายไปหมดแล้ว เนื่องจากไม่ได้มีแค่เรื่องคอลเซ็นเตอร์ แต่ยังมีปัญหายาเสพติดร่วมด้วย ต้องกำหนดเป็นปฏิบัติการร่วมกัน
“ที่จริงมันเป็นโอกาสนะ ที่จะแก้ปัญหาทั้งคอลเซ็นเตอร์และยาเสพติดไปพร้อม ๆ กัน เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ปัญหาของประเทศใดประเทศหนึ่ง อาเซียนต้องทำงานร่วมกับจีน ขณะที่รัฐบาลต้องมีนโยบายเร่งด่วนออกมา อีกปัญหาที่ต้องจัดการคู่ขนานไปด้วยคือ เจ้าหน้าที่นอกแถวที่แสวงหาประโยชน์จากธุรกิจสีเทา เพราะถ้าผู้บังคับใช้กฎหมายไม่มีธรรมาภิบาลหรือคอร์รัปชันปัญหาก็แก้ยาก เช่นเดียวกับการจะมีกาสิโน กฎหมายต้องเคร่งครัด เจ้าหน้าที่ต้องไม่ทุจริต เนื่องจากหากกำกับดูแลไม่ดี การพนันก็ไม่ต่างจากยาเสพติด ควบคุมไม่อยู่จะอันตรายมาก ไฟไหม้ยังเหลือที่ดิน แต่การพนันที่ดินก็ไม่เหลือ อย่าลืมว่าเราถูกตั้งข้อสังเกตจากกรณีชิงชิงด้วยว่า ที่ส่งตัวกลับจีนได้เร็ว เพราะเจ้าหน้าที่ของไทยไปมีความสัมพันธ์อะไรกับอาชญากรเหล่านี้หรือไม่“ เลขาฯ สภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าว