ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผอ.สำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า ร่วมถอดรหัสการเลือกตั้งสนาม อบจ. เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 68 กับ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร โดยระบุว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีหลายฝ่ายที่ต้องเอาปี๊บคลุมหัว รวมถึงตัวของเขาเองด้วย เพราะเคยวิเคราะห์ว่า พรรคประชาชนจะไม่ได้นายกอบจ.เลย แต่เขาได้มา 1 จังหวัดที่ลำพูน คนที่เขาหวังไว้เยอะแล้วแพ้ก็เรียกว่าอยู่ในกลุ่มที่อาจยังไม่ถึงขั้นต้องเอาปี๊บคลุมหัว เพราะหลายค่ายสีก็ประสบความสำเร็จ เช่นประชาชนปักธงได้หนึ่งจังหวัด เป็นย่างก้าวที่สำคัญและมีบทเรียนให้ขบคิดว่าต้องทำอย่างไรกับสนามท้องถิ่นและลำพูนจะเป็นโมเดลต้นแบบว่าถ้าคนเลือกตั้งมากเขามีโอกาสมาก ก็ต้องทำให้คนมาใช้สิทธิเยอะ แม้จะถูกมองว่าผู้สมัครมีกลิ่นอายบ้านใหญ่อยู่ด้วย ธงที่พรรคประชาชนปักได้จังหวัดเดียวคือบททดสอบและโอกาสที่พรรคประชาชนได้ขอกับประชาชนมาตลอดเพื่อทำงานบริหาร เมื่อได้โอกาสแล้วต้องบริหารงานให้เป็นรูปธรรม ส่วนในพื้นที่ที่มีสส.ยกจังหวัด หรือแม้แต่มีผู้สมัครเป็นอดีตนายก อบจ.อย่างนครนายก ก็พลาดไปนั้นในมุมของผมไม่คิดว่าน่ากลัวมาก เพราะแม้ภาพรวมจะแพ้แต่เมื่อดูคะแนนที่ได้มาจะเป็นว่ามีความสัมพันธ์กับประชาชนที่ไปใช้สิทธิ์น้อย แปลว่าสถานภาพของพรรคยังทรง ๆ ไม่ต่างจากการเลือกตั้งปี 66 ไม่ได้ตกต่ำลงไปมาก สถานการณ์จากการเลือกตั้งครั้งนี้จึงไม่ได้บอกว่าแดงกินส้ม หรือ ประชาชนคายส้มแล้ว แต่สองปีนับจากนี้เป็นงานหนักของพรรคประชาชนที่ต้องพิสูจน์ตัวเอง สร้างคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น
ส่วนกรณีนายทักษิณ ชินวัตร บิดานายกฯ เจ้าของวลี “ถ้าแพ้ต้องเอาปี๊บคลุมหัว” นั้น ผอ.สำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า มองว่า นายทักษิณอาจจะอายนิดหน่อยเพราะเล่นใหญ่ไว้หลายพื้นที่ แต่ถ้ามองดี ๆ รอบนี้พรรคเพื่อไทยไม่ได้ล้มเหลวอะไร เพราะส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เข้าท้าชิง เช่น เชียงราย ศรีสะเกษ เมื่อมีนายทักษิณไปช่วยแล้วไม่ชนะ สถานการณ์ก็ถือว่าเท่าเดิม เพราะไม่ใช่เจ้าของพื้นที่เดิม เพียงแต่ที่ศรีสะเกษแพ้เยอะให้กับแชมป์เก่าสีน้ำเงิน อันนี้ก็ต้องถอดบทเรียน แต่ก็ยังมีพื้นที่ที่เขาปักธงใหม่ได้ เช่น นครพนม สกลนคร และ หนองคาย
“เพียงแต่เราไปโฟกัสจังหวัดที่คุณทักษิณไป 8 จังหวัดแพ้ครึ่งหนึ่งชนะครึ่งหนึ่ง ก็เลยอาจเรียกว่าไปแล้วผิดหวัง และสะท้อนว่ามนตร์ไม่ขลังเหมือนเดิม คาถาของคุณทักษิณไม่ใช่คาถาวิเศษเหมือนยุครุ่งเรืองอีกแล้ว แต่ยังพอมีมนตร์ขลังในแง่กระทบทำให้แชมป์เก่าเจ้าของพื้นที่เหนื่อยและสะเทือนอยู่บ้าง และเมื่อมองไปถึงสนามเลือกตั้งครั้งใหญ่ก็ยังเห็นนทิศทางว่ามีโอกาสจะเข้าทางพรรคเพื่อไทย แต่คงไม่ถึงขนาดจะได้ 200 ที่นั่งขึ้นไปตามเป้าหมายของคุณทักษิณ ถ้าจะทำให้ตามเป้าหมายนั้นยังต้องออกแรงอีกนิด เพราะเดิมเขาเคยได้ 112 เขต ในการเลือกตั้งปี 66 เชื่อว่าเพิ่มขึ้นแน่ แต่ถ้าจะไปให้ถึง 200 แปลว่าต้องได้ราว 170 เขต หรือ 175 เขตเพราะปาร์ตี้ลิสต์น่าจะอยู่ 25-30 เท่านั้น เท่ากับมีการบ้านที่ต้องทำอีกเยอะ นโยบายเงินหมื่นที่คิดว่าทำให้พรรคมีคะแนนนิยมมากขึ้น ก็เชื่อว่าได้เอฟเฟคแค่เท่าที่เห็น” ดร.สติธร กล่าว
สำหรับภาพรวมของสนามเลือกตั้งนายก อบจ.คราวนี้นั้น ดร.สติธร วิเคราะห์ว่า พื้นที่เหนือบนหลายจังหวัด เช่น เชียงใหม่ ลำพูน ส้มรักษาฐาน แดงจะมากินส้มในพื้นที่ที่ส้มครองยากในการเมืองระดับชาติ ส่วนอีสานแดงกินน้ำเงิน ขณะที่ส้มยังไม่ออกตัวมาก เพราะส่งเฉพาะที่มุกดาหารเพียงแห่งเดียว ขณะที่น้ำเงินไปกินแดนภาคใต้ ซึ่งน่าจับตาเพราะการเมืองภาคใต้เปลี่ยนเยอะเชื่อว่าสีน้ำเงินจะมากขึ้น ส่วนฟ้าถ้าอยากอยู่รอดคงต้องจับมือกับน้ำเงินเข้าไว้ ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาจะเห็นภาพการจับมือป้องกันเสียงแตกมากขึ้น เนื่องจากแต่ละฝ่ายก็ได้บทเรียนจากการเลือกตั้งปี 66 มาแล้ว ว่าเมื่อมีฟ้าหลายเฉดกลายเป็นโอกาสของน้ำเงิน ถ้าฟ้าจับฟ้าได้อย่างที่สงขลาเขาก็ยังครองพื้นที่ได้อยู่ แต่ภาพรวมน้ำเงินเขาทรัพยากรดี จึงได้เปรียบและสีแดงไปไม่ถึง และในการเลือกตั้งครั้งหน้าเขาก็ไม่มีแผนไปที่ภาคใต้ด้วย มีแต่ส่งเครือข่ายอย่างพรรคกล้าธรรมไปชิมลาง
ส่วนปรากฏการณ์บัตรเสียและโหวตโนนั้น ผอ.สำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า มองว่า เป็นธรรมชาติของการเมืองสองขั้ว อย่าไปตกใจว่าบัตรเสียเพราะ กกต.จัดการเลือกตั้งไม่ดี มีบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนนเยอะเพราะแสดงความไม่พอใจ เพราะต้องเข้าใจว่าในการแข่งขันแต่ละจังหวัดส่วนใหญ่เหลือแค่สองทีม มีบางจังหวัดเท่านั้นที่มีสามทีม โดยในจังหวัดที่แข่งสองทีม เช่น เชียงใหม่ แข่งแดงกับส้ม คนที่เคยเป็นสีเหลืองก็ไม่มีตัวเลือก จึงต้องไปกาไม่ประสงค์ลงคะแนน หรือไม่ไปใช้สิทธิ เพราะทั้งแดงและส้มไม่ใช่ทางเลือกของเขา และผู้สมัครอื่นก็อาจไม่ใช่คำตอบ จึงไม่สามารถนำสถิตินี้ไปเทียบกับการเมืองระดับชาติได้ เนื่องจากเป็นการแข่งขันของทุกพรรค และทุกคนก็มีความหวังต่อให้ผู้สมัครไม่ชนะก็ลงคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ให้กับพรรคที่ชอบ