กลายเป็นประเด็นที่สร้างการถกเถียงและวิพากษ์วิจารณ์หนาหู หลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองลงพื้นที่ตรวจสอบการกระทำความผิดของแรงงานต่างด้าว หลังมีประชาชนแจ้งเรื่องร้องเรียนผ่านศูนย์ดำรงธรรมอำเภอกระทุ่มแบน ว่ากลุ่มแรงงานต่างด้าวเหล่านี้มีการขายของแบ่งอาชีพคนไทย เมื่อลงพื้นที่ตรวจสอบพบร้านขายของชำ โดยมีแรงงานสัญชาติเมียนมา 2 ราย กำลังขายของให้แรงงานต่างด้าวด้วยกัน เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเพื่อจับกุม และตรวจสอบเอกสารของแรงงานต่างด้าวที่อยู่ภายในร้านทั้งหมด
จากการตรวจสอบพบว่าแรงงานเมียนมาที่เข้ามาซื้อของใบอนุญาตอยู่ในประเทศได้สิ้นสุดลงแล้ว ส่วนแรงงานเมียนมา 2 ราย ที่ขายของให้ลูกค้า เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารหลักฐานพบว่า ใบอนุญาตทำงานระบุเป็นกรรมกร แต่มาทำงานขายของ ซึ่งถือเป็นความผิดในลักษณะการทำงานนอกเหนือสิทธิ์ที่มี จึงคุมตัวแรงงานเมียนมาทั้ง 3 ดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติม

โดยสินค้าภายในร้านพบมีสินค้าประเภทอาหาร ไม่มีเลขที่ อย. ติดสลากภาษาเมียนมา ไม่มีสลากภาษาไทยวางขายอยู่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมียาชนิดต่าง ๆ ทั้งยาสามัญประจำบ้าน ยาอันตราย ยาสมุนไพร ยาหยอดตา ยาคุม ฯลฯ โดยยาส่วนใหญ่ติดสลากภาษาประเทศเมียนมา นอกจากนี้ยังพบว่ามีการจำหน่ายบุหรี่ในลักษณะฉีกซองแบ่งขายเป็นมวน ๆ

นางมินตรา ผู้เป็นเจ้าของร้าน และเป็นนายจ้างของแรงงานชาวเมียนมาทั้ง 2 จึงถูกแจ้งข้อกล่าวหา จำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหาร ไม่มี อย. ไม่มีฉลากภาษาไทย มีโทษปรับไม่เกิน 30,000 บาท จำหน่ายยาอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีเภสัชกรประจำร้าน มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 50,000 บาท จำหน่ายยาสมุนไพร โดยไม่ขึ้นทะเบียนและไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีความผิดตาม พรบ.ยาสูบ ซึ่งมีโทษปรับไม่เกิน 40,000 บาท
ส่วนแรงงานต่างด้าวที่อยู่ประเทศไทยโดยใบอนุญาตสิ้นสุดลง มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกินไม่เกิน 20,000 บาท และแรงงานต่างด้าวที่ขายของภายในร้าน มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท พร้อมถูกส่งตัวกลับประเทศ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปทำบันทึกการจับกุม เพื่อส่งพนักงานสอบสวน สภ.กระทุ่มแบน ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป