โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ข้อมูลเรื่องการทำสัญญาขายไฟฟ้าตามแนวชายแดนว่า เกิดขึ้นตามมติ ครม.เมื่อปี 2535 และ 2537 จากนั้นให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ กฟภ.มีอำนาจตามระเบียบของ กฟภ.ต่อไป ก่อนที่นายภูมิธรรมจะเปิดระเบียบ กฟภ.เรื่องการระงับ หรือยกเลิกการจ่ายไฟฟ้าที่ กฟภ.สามารถดำเนินการได้เองตามสัญญา ไม่ต้องเสนอให้ที่ประชุม ครม.และยังเชื่อมโยงมาถึงสถานการณ์ล่าสุดเรื่องการสั่งตัดไฟฟ้าครั้งนี้ด้วย
นายภูมิธรรมบอก ในระเบียบ กฟภ.ระบุหากผู้ซื้อไม่ปฏิบัติตามสัญญาจะยินยอมให้งดจ่ายไฟฟ้า หรือบอกยกเลิกสัญญา รวมถึงหาก กฟภ.เห็นว่ามีความจำเป็นเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย, ความมั่นคงอาจงดจ่ายไฟฟ้า ซึ่งผู้ซื้อไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ ซึ่งตรงนี้นายภูมิธรรมบอกขณะนี้พบกรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีคนไทยถูกหลอกเป็นจำนวนมากถือว่าเข้าข่ายที่ กฟภ.ต้องใช้สิทธิตามสัญญาไม่ว่าจะเป็นการจ่ายไฟฟ้าให้น้อยลง หรือระงับการจ่ายไฟฟ้า รวมถึงที่ประชุม สมช.ก็ยืนยันกระทบต่อความมั่นคงด้วย
“ดังนั้นความจริงไม่ต้องรอให้ สมช.ชี้ข้อมูล เพราะ กฟภ.หากเห็นว่า มีผลกระทบ ก็ควรจะเข้าไปดำเนินการ ไม่ใช่สนใจที่จะขายไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ดังนั้นคิดว่า การค่อย ๆ ตัดไฟฟ้าอาจจะช้าเกินไป เพราะมีปัญหารุนแรงแล้ว” นายภูมิธรรมกล่าว
นายภูมิธรรมบอกในฐานะรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง วันนี้จะสั่งการให้แจ้งกับ กฟภ.ดำเนินการตัดไฟฟ้าทันที ไม่ต้องรอมติ ครม.เพราะเรื่องนี้รุนแรง ไม่ใช่มารอโยนไปโยนมา ให้แจ้ง กฟภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากผู้บังคับงานหน่วยไหน หรือส่วนไหนไม่ปฏิบัติให้เกิดผลโดยทันที จะสั่งให้ยืมตัวมาช่วยราชการ ย้ำเรื่องนี้ไม่มีนอกมีใน ไม่มีการเมือง ต้องดำเนินการทันที และเพื่อให้เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน
ทั้งนี้ เมืองเมียวดีได้ซื้อไฟฟ้าจากไทยถึง 90% อาจทำให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้างหรือไม่ เรื่องนี้นายภูมิธรรมบอกเขาต้องควบคุมพื้นที่ของเขา หากปล่อยเป็นพื้นที่ที่สร้างปัญหาเขาต้องรับผิดชอบด้วย ต้องจัดการให้จบ หากไม่จบก็ต้องรับผล เราไม่ใช่แม่พระใจดี