นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ปธ.กมธ.ทหาร สภาฯ เปิดเผยกับ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” ถึงการลงพื้นที่พร้อมคณะและญาติ 4 ลูกเรือประมงไทย ที่ถูกคุมขังนานกว่า 2 เดือน ไปยัง จ.เกาะสอง ประเทศเมียนมา ว่า จากการหารือร่วมกับหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ชัดเจนว่ามีการติดตามปัญหาอย่างเข้มแข็ง แต่อุปสรรคที่ทำให้ไร้ความคืบหน้าทางบวกเกิดจากความใส่ใจของกระทรวงการต่างประเทศ อ้างแต่ว่า “ทำดีที่สุดแล้ว ทำได้แค่นี้” ซึ่งตนได้พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง เพราะกมธ.ทหาร ไม่ได้มีอำนาจบริหารเลย เรายังได้พบท่านชิส่วย ผบ.เรือนจำเกาะสอง จนทราบว่าจะมีการกำหนดวันให้เข้าเยี่ยมได้สามวันในหนึ่งเดือน คือ 5 17 และ 30 ของแต่ละเดือน อยู่ระหว่างสอบทานข้อมูลวย่าจะให้เลือกวันใดวันหนึ่งหรือสามารถเข้าเยี่ยมได้ทั้งสามวัน โดยจะมีหนังสือตอบกลับยืนยันไปที่ทางการไทยอีกครั้ง ถามว่าเมื่อมีหนังสือยืนยันกลับมา ใครจะเป็นผู้แจ้งญาติให้รับทราบ กระบวนการในการขออนุญาตหลังจากนี้ใครจะเป็นตัวกลางอำนวยความสะดวก โดยตั้งแต่ที่ทั้งหมดถูกจับตัวไป มีญาติลูกเรือประมงเพียงคนเดียวที่ได้เข้าเยี่ยมและเพียงครั้งเดียวเท่านั้นจากระยะเวลากว่า 2 เดือนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ในระหว่างการประชุมร่วมกับพ.อ. อภิชัย เรืองฤทธิ์ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 25 ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นไทย-เมียนมา ของฝั่งไทย (TBC) น่าตกใจว่า TBC ฝั่งไทยไม่เคยได้รับแจ้งจากกระทรวงการต่างประเทศเลย โดยเจ้าหน้าที่กต.แจ้งว่าได้บอกกับล่ามที่ได้รับมอบหมายไว้ ทั้งที่ล่ามไม่ใช่ข้าราชการ เป็นชาวเมียนมา คำถามคือการหลุดแบบนี้งานหยาบแบบนี้เกิดขึ้นได้ในยุคของรมต.ที่ชื่อ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ ได้อย่างไร ไม่คิดที่จะปรับปรุงการทำงานของตนเองและระบบงานภายในกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดีกว่านี้หรือ นี่คือบทสะท้อนสำคัญที่ชี้ชัดว่า ไม่จริงใจ ไม่ตั้งใจ ไม่ใส่ใจ
“คุณมาริษไม่ได้ทำหน้าที่ในฐานะรมว.ต่างประเทศที่พึงจะทำ ทำให้ผมคิดถึงคุณปานปรีย์ (พหิทธานุกร) อดีตรมว.ต่างประเทศอย่างมาก เพราะไม่เพียงประสิทธิภาพการทำงานต่างกันแต่หัวใจของความเป็นห่วงเป็นใยพี่น้องคนไทยก็แตกต่างกันมาก มนุษยธรรมก็แตกต่างอย่างมาก และสิ่งที่ผมมีแตกต่างจากคุณภูมิธรรม คุณแพทองธาร และคุณมาริษ คือ ความจริงใจ ความใส่ใจ และความตั้งใจในการช่วยเหลือ 4 ลูกเรือประมงไทย คุณมาริษในฐานเป็นแม่งานจะต้องปรับปรุงการทำงานของตัวเอง รวมถึงระบบงานภายในของกระทรวงการต่างประเทศด้วย ถ้ายังทำงานหยาบแบบนี้ อย่าว่าแต่เป็นรมว.ต่างประเทศเลย ถ้าเป็นเสมียนกระทรวงการต่างประเทศผมจะไล่ออกเลย จึงอยากให้พิจารณาตัวเอง เพราะความกระตือรือร้นในการทำงานของท่านยังไม่เหมาะแม้แต่จะเป็นเสมียนกระทรวงการต่างประเทศ เพราะเสมียนฯ หลายคนยังทำงานได้ดีกว่าท่าน” นายวิโรจน์ กล่าว
ปธ.กมธ.ทหาร สภาฯ กล่าวด้วยว่า กระทรวงการต่างประเทศทำงานหยาบมาก ดูได้จากกรณีที่ทั้งนายกฯและรมว.กลาโหม ประสานเสียงว่าลูกเรือประมงจะได้รับการอภัยโทษและปล่อยตัวในวันที่ 4 ม.ค. 68 แต่เมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่กลับพบว่า เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้างานไม่มีใครได้ข้อมูลหรือเอกสารทางการใด ๆ ที่ระบุว่า 4 ม.ค.68 จะมีการปล่อยตัวลูกเรือประมงไทยทั้ง 4 ชีวิตเลย คำถามคือ นายกฯและรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงเอาข้อมูลจากไหนไปแถลงต่อสาธารณะ ทั้งที่หน้างานไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริงเลย และไม่มีเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรด้วย เมื่อพลาดอย่างนั้นแล้วนายมาริษ ก็ไม่ได้ออกมาแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นเลย ใช้วิธีเงียบ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นสุญญากาศ
“ที่ตลกร้ายคือในระหว่างการประชุมในพื้นที่ ผมให้เจ้าหน้าที่โทรศัพท์ไปหานักการทูตชำนาญการที่เป็นผู้ประสานงานองกรมเอเชียตะวันออกว่า ได้แจ้งญาติลูกเรือหรือไม่ว่าจะได้เข้าเยี่ยมหรือไม่ เขาบอกว่าเขาแจ้ง เราก็สอบถามญาติลูกเรือในขณะนั้นเลยทุกคนยืนยันไม่เคยได้รับแจ้งใด ๆ จากเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ ผมเชื่อด้วยเพราะเขาไม่มีเหตุให้ต้องโกหก ถ้าต้องมีคนโกหกหรือปิดบังความด้อยประสิทธิภาพก็น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศมากกว่า คุณมาริษ ควรต้องสอบสวนข้อเท็จจริงว่า ทำไมเจ้าหน้าที่ฯ จึงนิ่งดูดายไม่เอาใจใส่ ขาดหัวใจความเป็นมนุษย์ถึงขนาดนี้ ถ้าลูกเรือประมงเหล่านี้เป็นพ่อของคุณมาริษ คุณจะทำแบบนี้หรือไม่” นายวิโรจน์ กล่าว
เมื่อถามว่า เห็นความผิดพลาดบกพร่องในการบริหารแบบนี้ นายมาริษ จะเป็นหนึ่งในรมต.ที่ถูกซักฟอกด้วยหรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า เรื่องนี้ละเอียดอ่อนและมาทีหลัง ตนยังให้โอกาสนายมาริษในการทำงาน
“ไม่ต้องน้อยใจเมื่อถูกเปรียบเทียบกับการทำงานของนายปานปรีย์ว่า ตัวเองด้อยค่า เพราะตัวเองด้อยค่าตัวเอง ไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีการทำงานของตัวเอง เมื่อถูกเปรียบเทียบแบบนั้นก็สมควรแล้ว ไม่ต้องบีบน้ำตาทำหน้าเศร้า ถือกระเป๋าก้มหน้า และผมกำลังจะพาญาติ 4 ลูกเรือประมงไทยไปพบคุณมาริษ ท่านควรให้พบนะครับ ต้องเป็นวิญญูชน เข้าใจหลักมนุษยธรรม อย่าบ่ายเบี่ยง เพื่อจะได้รับฟังปัญหาจากปากญาติของ 4 ลูกเรือประมงเอง เพราะเรื่องนี้เป็นความห่วงใยของคนทั้งชาติด้วย ที่ไม่สบายใจว่าคุณมาริษยังมีความตั้งใจปกป้องเกียรติภูมิ ศักดิ์ศรีของประเทศอยู่หรือเปล่า” นายวิโรจน์ กล่าว
สำหรับความเป็นอยู่ของ 4 ลูกเรือประมงไทย หลังจากที่กมธ.ฯ ได้พบในช่วงสั้น ๆ ก็พบว่าความเป็นอยู่ไม่ได้ดีนัก แต่ได้รับคำยืนยันจากผบ.เรือนจำ เกาะสองว่าจะดูแลเรื่องการเข้าถึงยารักษาโรคประจำตัวอย่างดี ในฐานะเป็นผู้สูงอายุ ซึ่งทำให้ญาติมีความสบายใจขึ้นกับความชัดเจนที่ได้รับ ส่วนสัญญาณเรื่องการปล่อยตัว 4 ลูกเรือประมงไทยนั้น จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใดที่จะสามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้ เพราะตนไม่อยากซ้ำรอยนายกฯและรมว.กลาโหมที่พูดไปแล้วแต่ไม่เป็นไปตามพูด ที่น่าสนใจคือ มีการพูดถึงเรื่องการใช้กระบวนการอภัยโทษ แต่เมื่อสอบถามในพื้นที่ไม่มีใครตอบได้ว่ามีการเริ่มกระบวนการเหล่านี้แล้วหรือยัง
นายวิโรจน์ ยังกล่าวถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร บิดานายกฯ ไปพบนายกฯ มาเลเซีย โดยหนึ่งในหัวข้อที่หารือมีสถานการณ์ภายในเมียนมารวมอยู่ด้วยว่า หากนายทักษิณมีบทบาทที่จะพูดคุยกับเมียนมาได้จริงก็ควรใช้ความสามารถนั้นไปช่วยเหลือสี่ลูกเรือประมงไทย เพราะในแง่กฎหมายทัพเรือภาค 3 ก็ยืนยันกับตนว่าจุดที่จับกุมแม้จะเลยเส้นปฏิบัติการไป แต่เส้นปฏิบัติการก็เป็นเส้นสมมติที่ให้กองทัพเรือทำหน้าที่ปกป้องเรือประมงและชาวไทย แต่ไม่ได้หมายความว่าการออกนอกเส้นปฏิบัติการจะไปรุกล้ำเขตแดนของใคร เพราะไม่ใช่เขตแดนของใครทั้งสิ้น เนื่องจากยังอยู่ในระหว่างการพูดคุย จึงต้องใช้กระบวนการอะลุ่มอล่วยพูดคุยอย่างเข้าใจกัน