หลังเกิดไวรัลแชร์ต่อโพสต์ของ “หมอเบียร์” พญ.ณัฐกานต์ ชื่นชม อายุรแพทย์โรคติดเชื้อ รพ.แม่สอด ความว่า “ผู้บริหารบอกว่าให้หมอเบียร์รับตรวจเคสวัณโรคกับเอชไอวีในศูนย์อพยพ เพราะ รพช. ไม่สามารถดูแลได้ จะให้รถโรงพยาบาลไปรับคนไข้เอามาให้ตรวจที่แม่สอด โดยไม่ดูภาระงานที่ทำอยู่ตอนนี้เลย ไม่ผิดคาดนะ ที่จะเป็นแบบนี้ เบียร์คิดมาหลายวันแล้ว… ให้เวลาอีกครึ่งวัน ถ้าผู้บริหารยังไม่เปลี่ยนแนวคิด จะไปเขียนใบลาออกราชการวันนี้แหละ อายุราชการ 20 ปีก็อุทิศตนมามากพอละ ไม่มีวินาทีไหนเลยที่ไม่ทำเพื่อผู้อื่น บอกอยู่ตลอดว่าศูนย์อพยพเป็นเรื่องของประเทศไทย ไม่ใช่สาธารณสุขท้องถิ่น คนไทยชายแดนเสียประโยชน์มาเยอะแล้ว ได้รับบริการช้า เสียเวลารอนาน ยังต้องแบ่งหมอของพวกเขาไปให้คนอื่นอีกหรอ ส่วนกลางโน่นต้องมาจัดการ”
เธอย้ำด้วยว่า “เรื่องของการจัดการค่ายผู้อพยพไม่ใช่เรื่องของสาธารณสุขท้องถิ่น แต่เป็นเรื่องระดับชาติ เป็นเรื่องการจัดการของรัฐบาล การแก้ไขกฎหมาย การผลักดันผู้ลี้ภัยกลับประเทศเดิม”
ทำเอาชาวเน็ตว้าวุ่นแสดงความเห็นกันจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่เห็นใจหมอชายแดนที่ต้องรับภาระหนัก และตั้งคำถามว่า ประเทศไทยจะทำตัวเป็น “ม้าอารี” ที่สุดท้ายอาจลำบากเพราะกลายเป็น “เตี้ยอุ้มค่อม” ไปถึงเมื่อไหร่ ปัญหาเหล่านี้ควรได้รับการจัดการอย่างไร รัฐบาลมีมาตรการอะไรมารองรับ หลัง “ทรัมป์” ประกาศนโยบายไม่ให้เงินช่วยเหลืออีกต่อไป จนต้องปิดรพ.สนามค่ายผู้ลี้ภัย และเปิดระบบดูแลผู้ป่วยในส่วนโรงพยาบาลของไทย 5 แห่งไปทดแทน ประกอบด้วย รพ.อุ้มผาง ดูแลศูนย์พักพิงนุโพ รพ.พบพระ ดูแลศูนย์พักพิงอุ้มเปี้ยม รพ.ท่าสองยาง รพ.แม่ระมาด และรพ.แม่สอด ดูแลศูนย์พักพิงแม่หละ โดยรพ.แม่สอด จะเป็นฝ่ายสนับสนุนให้กับทุกโรงพยาบาล
The Publisher ได้พูดคุยกับ คุณหมอธวัชชัย ยิ่งทวีศักดิ์ ผอ.รพ.ท่าสองยาง หนึ่งในห้าโรงพยาบาล ที่ได้รับมอบหมายให้เข้าไปดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน ผู้ป่วยนอก และผู้ป่วยในที่มีอาการทั่วไป รวมถึงการทำคลอดถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยระบุถึงปัญหาภาระงานที่ล้นเกินในบางโรงพยาบาลว่า อาจแก้ปัญหาด้วยการที่จะมีระบบคัดกรองบางโรคอาจไม่ต้องให้แพทย์ตรวจเอง ซึ่งจะต้องมีการส่งต่อที่เหมาะสม และกระจายงานอย่างเป็นระบบ เพื่อไม่ให้มีการส่งต่อผิด เว้นแต่มีเคสหนักจึงจะส่งมาที่โรงพยาบาลท่าสองยาง ปัจจุบันมีเคสที่ต้องแอดมิทโรงพยาบาล 10 กว่าราย เมื่ออาการดีขึ้นก็ส่งกลับ สถานการณ์ก็ยังไม่ถือว่าตึงตัวมาก ประเทศไทยคงต้องมาดูแลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องความมั่นคงชายแดนเกี่ยวกับสุขภาพที่อาจกระทบกับคนไทยด้วย ถ้าจะแก้คงต้องให้บุคลากรทางการแพทย์ของเมียนมาดูแลคนของเขาเอง และเราก็สนับสนุนในส่วนที่เขาขาด เช่น ยา เวชภัณฑ์ งบประมาณบางส่วน เพราะลำพังบุคลากรของเราก็ไม่เพียงพออยู่แล้ว ตอนนี้เราก็ต้องแบกรับทั้งคนไข้ที่มาคลอด คนไข้หนัก และคนไข้ที่ต้องรับยาวัณโรค ยาต้านไวรัส HIV ซึ่งรพ.ฯ มีผู้ต้องรับยาวัณโรค 10 กว่าราย ยาต้านไวรัส HIV ประมาณ 140 รายที่น่ากังวลคือถ้าเราไม่ดูแลเขา เชื้อพวกนี้อาจดื้อยา เช่นวัณโรคจากค่ารักษาสามพันจะเพิ่มไปเป็นหลักแสน หรือหลักล้าน และหากดูแลไม่ดีเชื้อแพร่ไปที่คนไทย ผมว่าเราจะเปลืองทรัพยากรมากกว่าเดิม เรื่องพวกนี้ต้องดูแลด้วยแต่ถ้าเราต้องดูแลทั้งหมดคงทำไม่ไหว เนื่องจากไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน
“ที่บอกว่าเราเตี้ยอุ้มค่อม ยังดูแลคนไทยไม่ทั่วถึงเลย ก็อาจจะมองแบบนั้นได้ หากประเมินงบที่ต้องใช้โดยใช้บัตรทองเป็นฐานคือ 2 พันบาทต่อหนึ่งคน ปัจจุบันมีผู้อพยพราว 1 แสนคน ก็จะต้องใช้งบประมาณ 200 ล้านบาทต่อปี อันนี้คือคิดขั้นต่ำ แต่ในเรื่องศูนย์อพยพมันชื่อศูนย์พักพิงชั่วคราว แต่ผมมาอยู่ 20 กว่าปี มันไม่ชั่วคราวจริง การส่งกลับเมียนมาหรือส่งไปประเทศที่สามมีน้อยมาก ถ้าเขาออกไปไม่ได้ จะให้เขาอยู่ในไทยอย่างไร เช่น ให้เขาทำงานได้จะได้มีประกันสุขภาพ ใช้แรงงานให้เป็นประโยชน์ได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็ต้องให้เขาออกจากประเทศไทยไปให้หมด ส่วนตัวผมคิดว่าเราต้องยอมรับความจริงว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะส่งเขาออกไปนอกประเทศ จึงน่าจะจัดการขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องเพราะเราก็ขาดแคลนแรงงานอยู่ เนื่องจากประชากรวัยทำงานลดลง ซึ่งไม่จำเป็นต้องให้เขามีสิทธิเท่าคนไทย แต่ให้เป็นแรงงานที่ทำประโยชน์ให้เราได้ แทนที่เราจะต้องไปดูแลเขาทั้งหมด น่าจะเป็นทางออกที่ดี“ ผอ.รพ.ท่าสองยาง กล่าว
คุณหมอธวัชชัย กล่าวด้วยว่า ในวันที่ 7 ก.พ.68 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะประชุมร่วมกันที่รพ.แม่สอด รวมถึง NGO ในพื้นที่ที่ตอนนี้หยุดปฏิบัติหน้าที่ไปแล้ว หลัง “ทรัมป์” ประกาศตัดความช่วยเหลือ โดยแนวทางหนึ่งที่อาจต้องดำเนินการคือ การตั้งกองทุนขอบริจาคเพื่อระดมทุนเข้ามาจากคนที่อยากช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
อย่างไรก็ตามยังคิดว่าสถานการณ์อาจคลี่คลายไปได้จากการเจรจาต่อรอง ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าทางการไทยจะมีศักยภาพต่อรองกับ “ทรัมป์” ได้หรือไม่ เพราะเขาเป็นประเทศใหญ่ อีกทั้งเรื่องนี้ก็ไม่ได้กระทบกับประเทศไทยเท่านั้น แต่กระทบไปหลายประเทศ “ถ้าผมเป็นตัวแทนรัฐบาลก็คงต่อรองว่า ภายในกี่ปีจะสามารถปิดศูนย์เหล่านี้ได้ โดยไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากเขาอีก แต่ก็ไม่รู้ว่าเรามีอำนาจไปต่อรองกับเขาได้มากน้อยแค่ไหน ผมก็ยังมองว่าเมื่อเขาอยู่ในประเทศไทยก็ต้องให้ความช่วยเหลือ ช่วยไม่ไหวต้องร้องขอไปยังประเทศที่ช่วยได้ ถ้าเราไม่ทำอะไรเลยก็คงไม่ได้ เราเรียนมาให้ดูแลผู้ป่วย ไม่ใช่เรียนมาให้ทอดทิ้ง ต้องช่วยกันหาทาง ทำไม่ไหวก็ต้องให้คนที่มีศักยภาพมาทำ ถ้าเขาดูแลกันเองก็น่าจะดี ถ้าจ้างเอาท์ซอรส์ หมอ พยาบาลเมียนมามาดูแลระบบเหล่านี้อย่างน้อยสามเดือนก็อาจจะช่วยแบ่งเบาภาระบุคลากรทางการแพทย์ของเราได้ หากไม่มีปัญหาเรื่องระเบียบการจ้าง การดำเนินการก็ยังติดเรื่องงบประมาณ เพราะถ้าจะให้รพ.สำรองจ่ายไปก่อน สถานะทางการเงินของ รพ.ก็ไม่ค่อยดีครับ”
เมื่อถามว่ารัฐมีการจัดงบประมาณให้หรือยัง หรือให้รพ.ไปตายเอาดาบหน้า คุณหมอธวัชชัย กล่าวว่า รัฐบาลให้เก็บข้อมูลว่าดูแลคนไข้กลุ่มนี้ไปเท่าไหร่ และยังไม่ทราบแผนว่าจะมีการสนับสนุนกลับมาอย่างไร เบื้องต้น รพ.ท่าสองยาง อาจต้องทำเรื่องขอยืมเงินจากรพ.แม่สอดซึ่งเป็นแม่ข่ายและสถานะการเงินยังดีอยู่ จากนั้นรัฐบาลควรมีแนวทางช่วยเหลือรพ.ที่ต้องรับภาระโดยเร่งด่วน