ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ กรรมาธิการวิสามัญพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภา ได้เผยแพร่จดหมายเปิดผนึกถึงสมาชิกแห่งที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เพื่อให้กำลังใจและสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของศาลในการรักษาความยุติธรรมและปกป้องประเทศชาติ ในจดหมายดังกล่าว ได้อ้างอิงถึงพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระมหาชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ว่า “ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนอย่างไรได้” เพื่อสื่อถึงความสำคัญของการทำหน้าที่ของศาลในการเป็นที่พึ่งของประชาชน
พร้อมเน้นย้ำถึงอำนาจและหน้าที่ของสถาบันตุลาการในการตรวจสอบ ถ่วงดุล และรักษาความยุติธรรม หลักนิติธรรมและหลักนิติรัฐของชาติบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจหน้าที่ในการปราบปรามและกำจัดอำนาจบริหารที่ฉ้อฉล คดโกงประเทศชาติและประชาชน และประเด็นสำคัญทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอำนาจของศาลในการพักโทษหรือทุเลาโทษ โดยเน้นย้ำถึงความชอบธรรมของศาลในการใช้อำนาจดังกล่าว และเตือนถึงการก้าวก่ายหรือละเมิดอำนาจอันชอบธรรมของสถาบันตุลาการ อีกทั้งยังได้ยกตัวอย่างกรณีในอดีตที่ศาลฎีกาได้ยืนยันอำนาจของศาลในการพิจารณาพักโทษหรือทุเลาโทษ และเรียกร้องให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาพิจารณาประเด็นปัญหาข้อกฎหมายที่สำคัญอย่างรอบคอบ เพื่อรักษาหลักนิติรัฐ นิติธรรม และความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
ท้ายจดหมาย อาจารย์อานนท์ ได้แสดงความเคารพและให้กำลังใจแก่ผู้พิพากษาศาลฎีกา ขอให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา เข้มแข็ง รักษากฎหมาย เพื่อให้ประชาชนมีที่พึ่ง และประเทศชาติมั่นคงสถาพรสืบไป
ก่อนหน้านี้มีประชาชนทำเรื่องถึงประธานศาลฎีกา ขอให้แก้ไขประเด็นสาธารณะ กรณี “ทักษิณ” ชั้น 14 ป่วยทิพย์ ที่มีขบวนการช่วยเหลือจนไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว ด้วยการใช้อำนาจในการบริหารงานด้านราชทัณฑ์ ซึ่งเป็นอำนาจขององค์กรฝ่ายบริหารเพียงองค์กรเดียว อาจเป็นการบังคับใช้กฎหมายที่ไปล้มล้างอำนาจฝ่ายตุลาการที่ทำหน้าที่พิพากษาลงโทษ แต่ผู้ต้องโทษกลับไม่ได้รับโทษ จึงเห็นว่าการบังคับโทษต้องใช้กฎหมายสองฉบับต่อเนื่องกันคือ กฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 และ ป.วิอาญา มาตรา 246 ที่บัญญัติว่า ศาลมีอำนาจสั่งให้ทุเลาการบังคับให้จำคุกไว้ก่อน จนกว่าเหตุอันควรทุเลาจะหมดไป ในกรณีเมื่อเกรงว่าจำเลยจะถึงอันตรายแก่ชีวิตถ้าต้องจำคุก ดังนั้นก่อนที่จะส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร หรือเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายจำคุก ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ-อาญา มาตรา 246 วรรคหนึ่ง จะต้องร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งด้วย ซึ่งระดับความรุนแรงของปัญหาสุขภาพทางกายของจำเลยหรือผู้ต้องขังที่จะสามารถร้องขอต่อศาลได้ จะต้องมีหลักฐานชัดเจนที่แสดงว่าถึงขั้นจะเป็นอันตรายแก่ชีวิต ศาลจึงจะมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับให้จำคุกได้ เมื่อศาลมีคำสั่งแล้วเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครจึงจะสามารถส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำได้
การส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีสถานะเป็นผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำที่ห้องพิเศษ ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนในทุกสาขาอาชีพอย่างต่อเนื่องตลอดมา นอกจากการกล่าวถึงเรื่องการหลีกเลี่ยงหรือล้มล้างอำนาจอธิปไตยขององค์กรฝ่ายตุลาการ ที่ปฏิบัติหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์แล้ว ประชาชนในแวดวงต่าง ๆ ยังได้แสดงความเห็นถึงความไม่เท่าเทียมกันในสังคม การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม การกระทำตนเป็นผู้อยู่เหนือกฎหมายของบุคคลบางคน การละเลยของรัฐบาลต่อการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ และการเสื่อมศรัทธาของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรม ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อมวลชนต่าง ๆ ต่อเนื่องตลอดระยะเวลากว่า 1 ปีที่ผ่านมา อันกระทบถึงความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนต่อองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และทำลายหลักการพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ประมุขฝ่ายตุลาการคือประธานศาลฎีกา ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดในการบริหารองค์กรผู้ทรงอำนาจอธิปไตยฝ่ายตุลาการ (ไม่ใช่ในฐานะผู้พิพากษาที่พิจารณาพิพากษาคดี) จึงควรเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาอันเป็นประเด็นสาธารณะที่ประชาชนเกือบทั้งประเทศเคลือบแคลงสงสัยต่อกระบวนการยุติธรรมของประเทศ ประชาชนจึงขอบารมีผู้ทรงอำนาจสูงสุดขององค์กรฝ่ายตุลาการเป็นที่พึ่ง เพื่อรักษาหลักการพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญที่แบ่งอำนาจอธิปไตยออกเป็น 3 อำนาจ เพื่อถ่วงดุลและไม่ก้าวล่วงกัน เพื่อให้ทั้งสามอำนาจอธิปไตยยังคงเป็นหลักของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขสืบไป