สถานการณ์การกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์กำลังร้อนแรงขึ้นอีกครั้ง หลังรัฐบาลไทยดำเนินมาตรการตัดไฟฟ้าใน 5 จุดชายแดนเมียนมาเป็นเวลา 9 วัน หวังตัดขาดโครงสร้างพื้นฐานของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ แต่ผลที่ได้อาจไม่เป็นไปตามเป้า
“ไฟดับ แต่แก๊งยังอยู่”
พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้สัมภาษณ์ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย ”สมจิตต์ นวเครือสุนทร“ ว่า แม้จะมีมาตรการตัดไฟฟ้า แต่จากสถิติพบว่าคดีคอลเซ็นเตอร์ลดลงเพียงเล็กน้อย และคาดว่าผลลัพธ์ที่แท้จริงจะเห็นในระยะยาวเท่านั้น แต่ปัญหาใหม่กำลังก่อตัวขึ้น เมื่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการตัดไฟเริ่มส่งเสียงเรียกร้องดังขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเรื่อง “น้ำมัน” ที่กระทบหนักกว่าไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ต ขณะที่ฝั่งขบวนการอาชญากรรมเองก็เตรียมการล่วงหน้า “โซล่าฟาร์ม” ถูกติดตั้งไว้ตั้งแต่ 6 เดือนที่แล้ว” เพื่อรองรับสถานการณ์แบบนี้
ไทยเทา คือกุญแจสำคัญ!
พล.ท.ภราดร ชี้ว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์จะขยายตัวไม่ได้ หากไทยเทาถูกจัดการ เพราะทุกเส้นทางการเดินทางของกลุ่มอาชญากรต้องผ่านไทย ถ้าไม่มีเครือข่ายสีเทาหล่อเลี้ยงนักการเมืองและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ปัญหาก็จะแก้ได้ง่ายขึ้น “ถ้าจัดการไทยเทาได้ ระบบคอลเซ็นเตอร์ก็พังทั้งกระบวนการ” เขาย้ำว่าการสร้างรั้วและบูรณาการจัดระเบียบชายแดนคือทางออกที่จำเป็น และการปรับโครงสร้างความมั่นคงต้องพร้อมรับมือกับอาชญากรรมข้ามชาติที่พัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็ว
จีนคือผู้กำกับเกม!
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ถูกเปิดเผยก็คือ การเคลื่อนไหวของรัฐบาลไทยในการจัดการขบวนการเหล่านี้ เกิดขึ้นภายใต้แรงกดดันจากจีน “รัฐบาลจะเคลมว่าเป็นผลงานก็เคลมไป แต่ชาวบ้านรู้ดี ว่าจีนคือผู้บงการ” เพราะตั้งแต่ผู้ช่วยรัฐมนตรีของจีนเดินทางมาไทยแบบ “ไม่เป็นทางการ แต่ไปได้ทุกที่” รัฐบาลไทยก็รีบเร่งปราบปรามคู่ขนานไปกับปฏิบัติการในเมียนมา เห็นได้จากการกวาดล้างที่ เล้าก่าย, คิงส์โรมัน และบาวิท กัมพูชา ซึ่งเกิดขึ้นในลักษณะเดียวกัน โดยจีนเพียงแค่ชี้เป้า ไม่ต้องส่งกองกำลังเข้าแทรกแซง
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ “จีนต้องลบภาพลักษณ์ตัวเองให้พ้นจากจีนเทา เพราะการปล่อยให้การค้ามนุษย์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์เติบโต ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของจีนในระดับโลกว่าตีสองหน้า จัดการในบ้านตัวเองแต่ปล่อยจีนเทาไปอาละวาดที่อื่น”
การเมืองเล่นเกม?
ขณะเดียวกัน คดีของ “หม่องชิตตู” ผู้อยู่เบื้องหลังเครือข่ายในเมียนมาก็ถูกโยงเข้ากับการเมืองไทย โดย พล.ท.ภราดร วิเคราะห์ว่า การตีกลับคำขอหมายจับของอัยการ อาจเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังร้อนระอุ
“รัฐบาลเร่งเครื่องปราบ เพราะใกล้อภิปรายไม่ไว้วางใจ”
แม้ว่าทางการไทยจะมีหลักฐานเพียงพอจากกรณีค้ามนุษย์ชาวอินเดียตั้งแต่ปี 2565 แต่กระบวนการกลับล่าช้า จนกระทั่งรัฐบาลต้องการใช้ประเด็นนี้เป็น “แต้มต่อ” ในการตอบโต้ฝ่ายค้าน ที่กำลังจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในเดือนมีนาคมนี้ อย่างไรก็ตามเชื่อว่ารัฐบาลไทยยังต้องเผชิญกับแรงกดดันจากหลายด้าน ทั้งจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการตัดไฟ แรงกดดันจากจีน และข้อครหาทางการเมือง