เมื่อเพื่อไทยพ่ายในสภาฯ สงครามใหม่จึงเริ่มต้น
หลังจากพรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้ศึกแก้ไขรัฐธรรมนูญในสภาฯ ไม่นาน ความเคลื่อนไหวทางการเมืองก็เปลี่ยนทิศไปสู่เรื่อง “ที่ดิน ส.ป.ก.” ซึ่งกลายเป็นสนามรบใหม่ โดยมุ่งเป้าไปที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี-รมว.มหาดไทย และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
แม้ว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งรับผิดชอบเรื่องที่ดิน ส.ป.ก. จะไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับของเพื่อไทยโดยตรง แต่ก็เป็นที่รับรู้กันว่าพรรค “กล้าธรรม” ของผู้กองธรรมนัส ซึ่งผลักดันเรื่องนี้ มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับพรรคเพื่อไทยเพียงใด
นี่จึงทำให้การตรวจสอบที่ดินครั้งนี้ถูกมองว่า เป็น “เกมเอาคืน” ที่เกิดขึ้นทันทีหลังเพื่อไทยเสียศูนย์ในสภาฯ
“หน้าตัวเมีย เล่นนอกเกม” – อนุทินสวนกลับเดือด
ประเด็นที่ดินสนามกอล์ฟใน อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ถูกจุดขึ้นจากรายการ เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ซึ่งรายงานว่า กระทรวงเกษตรฯ กำลังตรวจสอบการออกโฉนดในพื้นที่กว่า 40,000 ไร่ ว่ามีการบุกรุกเขตที่ดิน ส.ป.ก. หรือไม่ เปิดประเด็นมีพื้นที่ที่เป็นสนามกอล์ฟ ของนายอนุทิน รวมอยู่ด้วย
นายอนุทิน ตอบโต้กลับทันทีว่า ที่ดินของตนถือครองมา นานกว่า 10 ปี และมีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมตั้งคำถามว่า ทำไมถึงเพิ่งมีการขุดคุ้ยเรื่องนี้ขึ้นมาในช่วงที่การเมืองกำลังร้อนระอุ พร้อมกันนั้น เขายังใช้คำพูดดุเดือด “หน้าตัวเมีย” พร้อมระบุว่านี่คือการ “เล่นนอกเกม”
“ที่ดินแปลงนี้ถือครองมาเป็น 10 ปีแล้ว ไม่เคยมีปัญหา แต่พอมีประเด็นการเมือง กลับมีเรื่องนี้โผล่ขึ้นมา ซึ่งผมมองว่ามันหน้าตัวเมีย… พร้อมให้ตรวจสอบ ไม่มีปัญหาอะไร แต่เรื่องนี้เป็นการเล่นนอกเกม”
เมื่อถูกถามว่าหมายถึงฝ่ายการเมืองใช่หรือไม่ นายอนุทินตอบกลับทันทีว่า “ถ้าเป็นฝ่ายการเมือง ก็หน้าตัวเมียชัด ๆ”
จากสภาฯ สู่ราชการ: เกมตรวจสอบที่มีเดิมพันสูง
นอกจากการปะทะกันของนักการเมืองแล้ว ประเด็นนี้ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อหน่วยงานราชการหลายแห่ง ทั้ง กรมที่ดิน, ส.ป.ก., และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมที่ดินรีบออกมาชี้แจง ว่า การออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายในช่วงเวลานั้น ซึ่งก็ถูกมองว่ามีการเมืองผลักดันหรือไม่ เพราะอยู่ภายใต้กำกับของพรรคภูมิใจไทย ขณะที่ส.ป.ก. และกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะที่ดินบางส่วนถูกออกจากหลักฐาน น.ค.3 ซึ่งเชื่อมโยงกับกระบวนการจัดสรรที่ดินของรัฐ
นายธนดล สุวัณณะฤทธิ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ จากพรรคกล้าธรรม ระบุว่า มีการพบ การออกโฉนดโดยไม่ชอบกว่า 40,000 ไร่ และเตรียมลงพื้นที่ตรวจสอบ พร้อมขู่ว่า หากกรมที่ดินนิ่งเฉย จะใช้มาตรา 157 ฟ้องฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
เพื่อไทย vs. ภูมิใจไทย: ศึกที่ดินหรือศึกอำนาจ?
หากดูไทม์ไลน์ของเหตุการณ์ จะเห็นได้ชัดว่า การตรวจสอบที่ดินเกิดขึ้น ไม่นานหลังจากเพื่อไทยพ่ายเกมในสภาฯ นี่จึงทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า นี่คือ “ศึกอำนาจ” ไม่ใช่แค่การบังคับใช้กฎหมาย
ภูมิใจไทย กำลังเผชิญแรงกดดันจากเพื่อไทย ซึ่งแม้จะอยู่ร่วมรัฐบาลเดียวกัน แต่ก็มีความขัดแย้งกันมานาน อาทิ นโยบายกัญชาเสรี ที่เพื่อไทยอยากดึงกลับไปเป็นยาเสพติด,ร่างแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ ที่ภูมิใจไทยเอาเสียงข้างมาก 2 ชั้น,ร่างพ.ร.บ.กลาโหม ที่อนุทินออกมาค้านแนวคิดปฏิรูปทหารป้องกันรัฐประหาร สุดท้ายเพื่อไทยยอมถอยถอนร่างฯ ออกไป,ที่ดินเขากระโดง-สนามกอล์ฟอัลไพน์,การแก้รธน.ปมจริยธรรม เพื่อไทยก็ใส่เกียร์ถอยไม่เป็นท่า กระทั่งมาถึงการแก้ไขรธน.มาตรา 256 ที่องค์ประชุมล่ม 2 ครั้ง การผลักดันให้ส่งศาลรธน.ของเพื่อไทยไม่ประสบความสำเร็จ ถูกหักกลางรัฐสภา
เกิดคำถามว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น คือสงครามทางการเมืองที่ใช้กฎหมายเป็นอาวุธหรือไม่?
อนาคต: เกมการเมืองที่ไม่มีวันจบ
การเมืองไทยยังคงถูกขับเคลื่อนด้วย “การต่อรองอำนาจ” มากกว่าหลักธรรมาภิบาล และดูเหมือนว่าสมรภูมิที่ดินจะเป็นเพียงหนึ่งในหลาย ๆ เครื่องมือที่ถูกหยิบมาใช้
สำหรับนายอนุทิน แม้เขาจะออกมาปฏิเสธและสวนกลับแรง แต่ในทางปฏิบัติแล้ว นี่คือศึกใหญ่ที่เขาต้องรับมือ เพราะถ้ากระบวนการตรวจสอบดำเนินไปจนถึงขั้นเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ ภาพลักษณ์ทางการเมืองของเขาจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก แต่คงยากที่จะไปถึงจุดนั้น
ขณะเดียวกัน ฝั่ง เพื่อไทย เองก็ต้องระวัง เพราะหากถูกมองว่าใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือเล่นงานทางการเมือง ก็อาจถูกย้อนกลับมาเล่นงานในภายหลัง
เกมการเมืองที่ดุเดือด แต่สุดท้ายอาจจบแบบ “ไม่มีอะไรในกอไผ่”
แม้จะดูเหมือนว่าเพื่อไทยเดินหน้าลุยเต็มที่ เปิดศึกตรวจสอบที่ดิน ส.ป.ก. เพื่อไล่บี้ภูมิใจไทยแบบ “ฆ่าให้ตาย” แต่เมื่อพิจารณาจากประวัติศาสตร์การเมืองไทยแล้ว บ่อยครั้งที่ศึกใหญ่จบลงแบบ “ไม่มีอะไรในกอไผ่”
เมื่อผลประโยชน์ลงตัว ทุกอย่างก็อาจเงียบลงได้ในพริบตา
อย่าลืมว่า ทั้งเพื่อไทยและภูมิใจไทยยังต้องอยู่ร่วมกันในรัฐบาล การแตกหักโดยสิ้นเชิงอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดีสำหรับทั้งสองฝ่าย ในที่สุด อาจเป็นเพียงเกมขู่เชิงอำนาจเพื่อเรียกร้อง “ดีลใหม่” ที่ลงตัวมากขึ้นเท่านั้น
สำหรับประชาชนที่ติดตามด้วยความหวังว่าจะได้เห็นการตรวจสอบอย่างจริงจัง อาจต้องเตรียมใจว่า นี่อาจเป็นแค่เกมการเมืองรอบหนึ่ง ที่สุดท้ายแล้ว ไม่มีใครเจ็บ ไม่มีใครติดคุก และไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เมื่อคนเล่นเกมต่อรองกันได้ลงตัว คนดู… ก็ดูไปแบบเดิมๆ