จากกรณีที่กลุ่มนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ผู้เคยจัดการชุมนุม อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรรุ่นที่ 1-2 อดีตแกนนำกลุ่ม กปปส. และอดีตแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง นัดรวมตัวร่วมรับประทานอาหารค่ำ เป็นภาพที่ไม่มีใครคาดคิดว่าสักวันหนึ่งจะได้เห็น แต่มันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว จนเกิดการตั้งคำถามจากกลุ่มคนเสื้อหลากสีทั้งสองฝั่ง ว่าหรือนี่อาจจะเป็นการผนักกำลังเพื่อส่งสัญญาณเตือนบางอย่างที่อาจจะส่งผลถึง “รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์”
โดย ‘The Publisher’ มีโอกาสได้คุยกับ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ปธ.ที่ปรึกษาพรรคไทยภักดี ที่มาร่วมพูดคุยถึงประเด็นนี้อย่างหมดเปลือก
The Publisher: บรรยากาศเป็นอย่างไร พบกันที่ไหน อะไรเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดการนัดหมายกัน?
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม: จู่ ๆ ได้รับโทรศัพท์เชิญมาทานข้าวพูดคุยปัญหาชาติบ้านเมือง เราก็งง ๆ ว่าตกลงใครเป็นคนนัด จริง ๆ ก็ยอมรับว่าทนายนกเขาเป็นคนนัด หลังจากที่ไปถึงแล้วตกใจเลยผมคิดไม่ถึงว่าผมจะไปเจอแนวร่วมเดินทางแบบพร้อมหน้าพร้อมตากันเยอะขนาดนี้ คือมีตั้งแต่รุ่นอาจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อาจารย์แก้วสรร อาจารย์กิตติศักดิ์ อาจารย์อีกหลายท่านแล้วก็มาเจอแนวร่วมนปช. นำโดยคุณจตุพร ตัวแทนของคุณสนธิก็คืออาจารย์ปานเทพ แล้วมาเจอกับพี่น้องคปท. พูดง่าย ๆ คือหลายภาคส่วนมากนับดูแล้วน่าจะร่วม 30 คน ทุก ๆ คนที่มาร่วมกันบอกว่าคิดไม่ถึงว่าจะมาร่วมพร้อมหน้าพร้อมตากันเยอะขนาดนี้แล้วทุกคนก็มาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทุกคนมาด้วยความรู้สึกอึดอัดขอให้มีการนัดหมายแล้วทุกคนก็พร้อมจะมาอันนี้คือความรู้สึกที่ผมถ่ายทอดออกมาถามว่าประเด็นที่มีการถกกัน คือผมพูดได้เต็มปากเนื่องจากว่าหลายท่านบอกว่าไม่ต้องเป็นความลับ ทุกคนอึดอัดรัฐบาลอุ๋งอิ๋งทุกคนมองว่ารัฐบาลอุ๋งอิ๋งไปไม่ไหวประเทศชาติเสียหายหนักมากทุกคนเชื่อว่าอย่างนั้นแล้วตอนนี้ ภาษาชาวบ้านก็คือ ตอนนี้ทนไม่ไหวแล้ว อีกท่านหนึ่งที่เป็นนักธุรกิจก็บอกว่าตั้งแต่ทำธุรกิจมา 30 กว่าปี โควิดที่ว่าแย่แล้วยุคอุ๋งอิ๋งแย่กว่าหลังจากที่ถกกันหลายหลายคนให้โอกาสหลายฝ่ายได้พูดบทสรุปก็คือขณะนี้เรากำลังถูกครอบงำจากระบอบทักษิณใหม่ ประเด็นที่มีการพูดคุยหลัก ๆ ก็คือประเด็นเรื่องเอ็มโอยู 44 และประเด็นเรื่องนักโทษเทวดาชั้น 14 แล้วก็ด้วยบทสรุปคือทุกคนมองว่าเอ็มโอยู 44 มันอยู่ในอารมณ์ของประชาชน แต่ละฝ่ายทำอะไรประชาชนก็สนใจที่จะมาร่วมไม้ร่วมมือ
ที่จับต้องได้มากที่สุดก็คือคุณสนธิคุณปานเทพเป็นแกนนำในการนัดหมายมวลชนอีกประเด็นหนึ่งที่รู้สึกว่าไม่โอเคกันมากคือประเด็นนักโทษเทวดาชั้น 14 แล้วมีคนมีให้ข้อมูลวงในว่า ปปช. กำลังถูกทยอยซื้อวันนี้ปปช. มีหกคนถูกซื้อไปแล้วหนึ่ง แล้วก็คนที่สองล่าสุดได้รับรายงานเมื่อคืนนี้คนที่สองก็น่าจะนัดกันแล้วถูกซื้อเมื่อวานนี้ซึ่งถ้าหากเขาซื้อได้อีกหนึ่งคน คดีนักโทษเทวดาชั้น 14 ซึ่งหมายถึงไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลตำรวจหรือว่าราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ดีไม่ดีมีปัญหาแน่ ๆ ถ้าเค้าซื้อคนที่สามได้มันก็สามสาม
ที่ประชุมก็คือมันก็คุยกันว่าเบื้องต้นต้องแสดงพลังร่วมกันสักหน่อยนึงผมประกาศเลยว่าวันที่ 18 มีการนัดหมายว่าจะไปที่ปอปอชอ นี่คือภาพรวมทั้งหมดเพราะว่าสุดท้ายแล้วที่เราเสียเวลา ยืดเยื้อให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็นแล้วคนมันเยอะมันเสียเวลามันคุยกันตั้งแต่ 5 โมงเย็นจนถึง 4 ทุ่ม
The Publisher: ประเด็นขับเคลื่อน วันที่ 18 คืออะไร?
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม: กรณีนักโทษชั้น 14 เข้าใจว่าคณะกรรมการไต่สวนได้มีบทสรุปแล้ว ตอนนี้จะเสนอสู่ที่ประชุมใหญ่ของปปช. และตามกระแสข่าวคือเค้าพยาพยามวิ่งเต้นปปช. ให้ได้สามคน ทางพวกเราก็ต้องแสดงบางสิ่งบางอย่าง
The Publisher: ข่าวที่เราได้มาว่าน่าจะมีเรื่องการวิ่งเต้นกับ ปปช. เชื่อว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง? เพราะก่อนหน้านี้ปปช.เขาพยายามออกมาปฏิเสธว่าไม่จริง?
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม: คือ คนที่ได้เข้ามาชี้แจงให้ที่ประชุมได้รับทราบนั่นก็คือเชื่อว่าจริง ขนาดตอนนี้ซื้อไปแล้วได้สองคน ถ้าเขาได้สามคนทุกอย่างจะจบเลยนะ มันก็จะสามสามซึ่งก็จะเป็นปัญหาละ
The Publisher: ตามข่าวเหมือนว่าในชั้นอนุฯ ชี้แล้วว่ามีความผิดแต่มีการวิ่งเต้น คุณวัชระออกมาพูด ไอ้โม่งว.แหวน ไปเปลี่ยนว่าให้ยุตติมันเป็นข้อมูลเดียวกันกับวงสนทนาเมื่อวานหรือไม่?
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม: เมื่อคืนก็มีการพูดถึงคน ว.แหวน เหมือนกัน คน ว.แหวน เข้าใจว่า เบ็ดเสร็จแล้วจบแล้ว เปลี่ยนตัวขับเคลื่อนแล้ว แล้วก็มีการพูดถึงบุคคลที่สองเชื่อว่ามีการซื้อได้เรียบร้อยแล้วเพราะงั้นจึงเป็นที่ห่วงใยของที่ประชุมแล้ว เขาก็เลยมีการเสนอว่าน่าจะต้องไปแสดงออกตอนสืบพยาน ก่อนที่มันจะสายเกินไป
The Publisher: ในวันที่ 18 มีข้อเรียกร้องอะไรนอกจากการแสดงออกที่ปปช. หรือไม่?
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม: เนื่องจากว่า ปปช. ยังไม่มีมติ อย่างน้อยการแสดงออกจะเป็นเรื่องของให้กำลังใจเพื่อกดดัน แต่ผมเชียร์ให้เห็นว่าวันนี้เชื่อว่าระบอบทักษิณใหม่ที่กำลังเข้ามาครอบงำประเทศไทย แล้วก็มีท่านหนึ่งผมไม่เอ่ยชื่อแล้วกัน ระบอบทักษิณใหม่น่ากลัวกว่าระบอบทักษิณเก่าตรงที่ว่าเป็นการใช้อำนาจโดยไม่ชอบ เรื่องการทุจริตคอรัปชั่นเหมือนเดิม แต่ระบอบทักษิณใหม่พยายามพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เห็นด้วยกับระบอบทักษิณใหม่ อันนี้คือจุดอันตรายระบอบทักษิณเก่านี่พูดง่ายท ๆ ว่าจาบจ้วงอยู่แล้ว แต่ระบบทักษิณใหม่จะมีมุมแบบนี้ที่มันแตกต่างกันออกไป
The Publisher: หมายถึงว่าเราเห็นว่าเหมือนเขาแอบอิง?
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม: ผมหมายถึง “แอบอ้าง”
The Publisher: จะมีพลังเพียงพอที่จะทำให้คนในสังคมได้เห็นปัญหาเหมือนที่เราเห็นไหม?
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม: ถ้าพูดกันตามตรงเราต้องยอมรับว่านี้พลังทางสังคมค่อนข้างจะชัดเจนในเรื่องของเอ็มโอยู 44 เมื่อวานในที่ประชุมก็เลยไม่ได้พูดเรื่องเอ็มโอยู 44 มาก เพราะถือว่าค่อนข้างจะโอเคแล้วประเด็นต่าง ๆ มันชัดแล้วมันเดินต่อได้ แต่จุดอันตรายก็คือนักโทษเทวดาชั้น 14 ซึ่งถูกเรื่องอื่นมากลบแล้วมันหายไปเพราะงั้นเราต้องพยาพยามเอาเรื่องนี้ขึ้นมาในกระแสสังคมอีกครั้งหนึ่งซึ่งเป็นสองเรื่องที่คิดว่าจะต้องมีการขับเคลื่อนอย่างจริงจังแต่ผมต้องออกตัวนิดนึง
เมื่อวานคุยกันหลายเรื่องมากถึงทิศทางที่จะต้องดำเนินการเนื่องจากมันเป็นการเจอครั้งแรกในกลุ่มใหญ่ก็เลยมีการเสนอว่าน่าจะต้องเจอกันอีก จะต้องหาตัวแทนที่เป็นกลุ่มเล็กขึ้นมาเพื่อคุยในเชิงยุทธศาสตร์ แล้วมันเป็นเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งที่คุยกันว่าควรจะต้องตั้งชื่อกลุ่มไหม คุยกันไปคุยกันมาได้บทสรุปเบื้องต้นเอาหลวม ๆ ก่อนดีกว่า เอาเป็นว่ามาด้วยความรู้สึกด้วยหัวใจก็คือไม่ต้องตั้งชื่อกลุ่มใครพร้อมก็มา
The Publisher: จะมีความเป็นเอกภาพแค่ไหนในการรวมกลุ่มกัน?
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม: เมื่อวานก็คุยกันเรื่องนี้เราก็ต้องยอมรับว่าต่างคนต่างมา บางคนเกือบตีกันเกือบทะเลาะกันแต่หัวใจมันตรงกัน ตรงที่ไม่โอเคกับเราบอกทักษิณใหม่ไม่ไหวแล้วโว้ยกับรัฐบาลอุ๋งอิ๋ง ถ้าอารมณ์นี้เป็นอารมณ์ร่วม อารมณ์นี้จะเป็นอารมณ์ที่ขับเคลื่อนในการทำงานจุดที่ขัดแย้งกันในอดีตทุกคนก็เข้าใจได้อันนั้นมันคือเรื่องอดีต
The Publisher: คิดอย่างไรหากมองในมุมของรัฐบาลกับประโยคที่ว่า “หน้าเก่าเจ้าเดิมคนเกลียดทักษิณ”?
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม: จริง ๆ เรื่องนี้ก็มีการคุยกันอยู่เหมือนกัน แต่มันคือคอนเทนท์ที่คุณเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง ไม่ใช่ว่าคุณทำดีแล้วเราไปจงเกลียดจงชัง ไม่ใช่ แต่ที่คุณทำแต่ละเรื่อง เรื่องนักโทษชั้น 14 เรื่องเอ็มโอยู 44 มันเป็นสิ่งที่พวกคุณทำเองทั้งสิ้น เขาก็ยื่นหนังสือเตือนแล้ว คุณก็พยายามไปแทรกแซงปปช. ทุกอย่างมันอยู่ที่คอนเทนท์ มันอยู่ที่สาระที่พวกคุณจะทำ
The Publisher: คิดอย่างไรกับคำว่า “เขาก้าวข้ามทักษิณไปนานแล้วทำไมคนกลุ่มนี้ถึงไม่ยอมก้าวข้ามกันไปอีก”?
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม: พวกคุณยังไม่ก้าวข้ามความชั่วร้ายที่พวกคุณเคยทำเลย คุณก็พูดไปเรื่อยพูดแบบลมออกปากไปเรื่อย แต่ความชั่วร้ายที่พวกคุณกระทำพวกคุณก็วนการสร้างภาพอยู่เหมือนเดิมแต่หนักกว่าเดิมที่แอบอ้างสถาบันนี่จริง ๆ ภาษาชาวบ้านเค้าเรียกว่าโหนเจ้าตัวจริง ลองสังเกตดูเค้าพยาพยามจะแอบอ้างสถาบันอ้างอยู่เรื่อยๆ
The Publisher: ถ้าฟังคุณทักษิณปราศรัย เมื่อวาน ก็จะมีคำลักษณะนี้อยู่ เช่น มารับใช้ประชาชนมารับใช้พระยุคลบาท?
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม: นั่นคือสิ่งที่พวกเราได้คุยกันเมื่อคืนนี้ นั่นคือการแอบอ้าง ภาษาพวกนี้มันเป็นภาษาที่บ่งบอกได้เลยว่าประชาชนจะเข้าใจผิด นี่คือจุดอันตรายที่ทำให้ยิ่งแอบอ้างยิ่งทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อสถาบันเบื้องสูงด้วย
The Publisher: ถ้าเราดูหลังจากที่ได้พูดคุยกันแล้วเราจับอารมณ์ความรู้สึกที่จะขับเคลื่อนร่วมต่อไป ยังมีพลังมากน้อยแค่ไหน?
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม: ทุกคนมั่นใจว่ามีพลังแล้ว ทุกคนมั่นใจว่าอารมณ์ของประชาชนพร้อม เราวัดจากการที่คุณปานเทพ คุณสนธิ ได้ขยับแบบพื้น ๆ ถ้าดูแล้วไม่ว่าจะเป็นใครก็แล้วแต่ คนเค้าพร้อมทุกคนเบื่อหน่ายแล้วก็รีเฟคหมายถึงอารมณ์ตัวเอง ว่าทำไมเรามาเพราะทุกคนมันอึดอัดแล้วทนไม่ไหวแล้ว ที่ประชุมทุกคนพูดแล้วยึดอารมณ์เดียวกันเลยไม่คิดเลยว่าจะเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาขนาดนี้ ถ้าเป็นอารมณ์ปกติไม่มากันหรอก
The Publisher: กลุ่มพันธมิตรเดิมเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้หรือไม่?
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม: ยืนยันว่าไม่ใช่ ตอนแรกผมเข้าใจอย่างนั้น แต่ไม่ใช่เพราะว่าตัวแทนพันธมิตร อย่างเช่น คุณปานเทพ ก็เป็นแขกกลับกลายเป็นว่าเป็นนักวิชาการเป็นคนขยับ พวกอาจารย์ต่าง ๆ เป็นคนขยับเราก็ต้องยอมรับว่าพวกอาจารย์ข้อมูลข่าวสารเค้าลึกซึ้งกว่าพวกเราการศึกษาข้อมูลเขาลึกซึ้งกว่าความรู้สึกที่ทนไม่ไหวแล้วโว้ย เค้าอาจจะไม่ไหวแล้วก็เลยมากินข้าวกันหน่อยสิเพราะงั้นผมบอกได้เลยว่าอาจารย์สายวิชาการเป็นคนขยับพวกเรากับกลายเป็นแขกที่ถูกเชิญไปแม้แต่พันธมิตรก็เป็นแขกที่ถูกเชิญมาแต่ว่าจะเปิดกว้างในการฟังความคิดเห็นของทุกฝ่ายย้ำอีกนิดนึงนะเนื่องจาก ที่ประชุมบอกว่าไม่ต้องไปปิดบังเป็นความลับเผยแพร่ได้มันก็เลยมีภาพพรุ่งนี้ออกไป
The Publisher: หลังจากที่ไปปปช.มีแผนหลังจากนั้นอย่างไร?
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม: ผมว่าอาจจะต้องมีการประชุมกันต่อเพราะว่ามันมีการเจอกันครั้งแรกมีบทสรุปมีงานออกมาก็ถือว่าสุดยอดแล้วสำหรับนักเคลื่อนไหวทางการเมืองมือพระกาฬทุกคนโดยปกติเค้าไม่ค่อยฟังกันหรอกแต่เมื่อคืนมีบทสรุปได้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว
The Publisher: เขาปรามาสกันไว้ว่าจุดไม่ติดหรอกคุณหมอมองอย่างไร?
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม: ภาษาชาวบ้านใช้คำว่าปากกล้าขาสั่น เอาแค่วันที่คุณสนธิคุณปานเทพไป มันได้ใจความรู้สึกคนไทยทั้งประเทศ เพราะว่าไม่ต้องไปโทษใครรัฐบาลคุณทำของคุณเองติดไม่ติดก็เป็นเรื่องของรัฐบาลจะทำให้ติดก็รัฐบาลทำ ถ้ารัฐบาลทำดีคนก็ไม่อยากมาหรอกเรื่องนี้ไม่ต้องไปโทษใครเลย ม็อบมันเกิดขึ้นเพราะรัฐบาลทั้งสิ้นติดไม่ติดก็อยู่ที่รัฐบาล
The Publisher: จะอธิบายอย่างไรเวลาที่เขาบอกว่ายังเสียหายไม่พออีกหรอ สุดท้ายจะปูทางไปรัฐประหารหรือเปล่า?
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม: ต้องถามคนมีอำนาจเพราะคนมีอำนาจเป็นผู้กำหนดเกมเลิกม็อบจะจุดติดไม่ติดอยู่ที่รัฐบาลคุณเคยมีอำนาจมาแล้วคุณเคยสร้างความเสียหายมาแล้วมันยังเสียหายไม่พออีกหรอคุณอยากให้ประวัติศาสตร์มันเกิดซ้ำรอยหรอ ถ้าคุณไม่อยากให้ประวัติศาสตร์มันเกิดซ้ำรอยคุณก็ทำสิ่งที่ดีดีให้กับประชาชน ให้กับประเทศ ทำด้วยความซื่อสัตย์สุจริตประชาชน เขาโอเคหมดเลย แต่อันนี้คุณทำคุณไม่เคยฟังประชาชนเลยแถมคุณยังให้เขมรมาปล้นทรัพย์สมบัติที่เป็นทรัพยากรของประเทศชาติด้วย ใช้อำนาจไม่ชอบด้วยปล่อยนักโทษคดีทุจริตจำนำข้าว รัฐบาลประเทศชาติเสียหายมาแล้ว แต่คุณไม่เรียนรู้มันเลยเหรอ คุณยังต้องการให้มันเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยหรอ แล้วผมบอกไว้เลยว่ารับรองประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอย แต่ประวัติศาสตร์จะสร้างประวัติการใหม่ จะเกิดประวัติศาสตร์ใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม เพราะพวกเราเรียนรู้มาหมดแล้วรัฐบาลก็มองเกมออก เพราะตอนนี้เรากำลังกำลังสู้กับนิวจีนของทักษิณ เราก็ต้องใช้ยุทธศาสตร์ใหม่ในการต่อสู้เพื่อให้เกิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่
The Publisher: เพราะว่าถ้าเราดูบริบททางกฎหมายมันก็เปลี่ยนไปหลายอย่างเพราะสมัยก่อนมันไม่มีพรบ.ชุมนุมสาธารณะ แต่เดี๋ยวนี้จะมีการชุมนุมพักค้างเหมือนในอดีต เทคโนโลยีก็เปลี่ยนไปด้วย?
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม: ใช่ๆๆ เราต้องยอมรับนะว่าเอ็มโอยู 44 ที่เห็นรัฐบาล แทบจะไม่มีพื้นที่ในการให้ฝ่ายที่คัดค้านได้มาถูกรัฐบาลไม่เคยมีเลยการนำเสนอค่อนข้างจะปิดกั้นโซเชียลมีเดียเป็นตัวกดดันรัฐบาลวันนี้ งั้นเราก็ต้องเรียนเรียนรู้จากเทคโนโลยีที่มันเปลี่ยนไป
The Publisher: ตอนนี้พลังแห่งโลกโซเชียลมันแรงกว่าสื่อกระแสหลัก?
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม: ผมขอเสริมนิดนึงผมเห็นฝั่งที่จะเชียร์เอ็มโอยู ชอบอ้างว่าเอ็มโอยู 44 มัน 23 ปี แล้วทำไมคุณพึ่งมาตื่น จริง ๆ แล้ว ข้อมูลข่าวสารเมื่อ 23 ปีที่แล้วค่อนข้างเข้าถึงยากมากแล้วสำคัญคือในยุคลุงตู่ก็ไม่ได้กระเหี้ยนกระหือรือที่จะอะไรกับเขมรเลย ทำให้เรื่องเหล่านี้ไม่ได้รับความสนใจ แต่มายุคนี้ต้องยอมรับว่ารัฐบาลชุดนี้กระเหี้ยนกระหือรือที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับเขมรมากผิดปกติ และเร่งรีบที่จะดำเนินการโดยที่ไม่สนใจและข้อมูลข่าวสารเข้าถึงง่ายประกอบกับเรามีโซเชียลมีเดียอย่างเช่น TikTok ที่มันจะคอยเผยแพร่ข้อมูลต่างๆเยอะมากมันจึงทำให้ทุกคนตื่นแล้วผมเชื่อว่ามันเลยทำให้ทุกคนตื่นประชาชนก็เข้าใจ