“รถเบรกแตก รถพลิกคว่ำ รถไฟไหม้” คำเหล่านี้แทบจะกลายเป็นประโยคที่เราคุ้นชิน เมื่อพูดถึงข่าวอุบัติเหตุหมู่บนถนนเมืองไทย เราเห็นโศกนาฏกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงร่ำไห้ของครอบครัวผู้สูญเสียยังดังสะท้อนอยู่ในสังคม แต่ผ่านไปไม่นาน เสียงร่ำไห้ก็กลับมาดังระงมอีกครั้ง
แล้วสังคมไทย “ถอดบทเรียน” มานานแค่ไหนกันแล้ว? หรือแท้จริงแล้ว เรากำลัง “ถอดแต่ไม่เคยใส่กลับ” ?
18 ศพที่เขาศาลปู่โทน : ลมหายใจสุดท้ายบนทางลาดชัน
วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 รถบัสนำคณะดูงานจากบึงกาฬ มุ่งหน้าสู่ระยอง แต่ปลายทางของพวกเขากลับจบลงที่เชิงเขาศาลปู่โทน จ.ปราจีนบุรี รถบัสพลิกคว่ำลงข้างทาง มี 18 ชีวิตต้องจบลงตรงนั้น และบาดเจ็บอีก 31 ราย
สาเหตุเบื้องต้น? “เบรกขัดข้อง” …คำตอบที่เหมือนจะเป็นคำแก้ตัวแบบเดิมๆ ที่เราคุ้นเคย ถนนลาดชัน ระบบเบรกไม่ได้มาตรฐาน รถรับน้ำหนักเกิน คนขับไม่มีประสบการณ์ ไม่ชินทาง เราได้ยินมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว แต่ทำไม…มันยังคงเกิดขึ้น?
ย้อนรอยโศกนาฏกรรม “รถไฟไหม้” เด็กนักเรียนดับ 23 ศพ
หากใครยังจำได้ 1 ตุลาคม 2567 รถบัสทัศนศึกษาของเด็กนักเรียนจากอุทัยธานีไฟไหม้ เด็ก 23 คน ถูกเผาทั้งเป็น ไม่มีโอกาสแม้แต่จะดิ้นรนหนี สาเหตุ? เพลาหลังหัก ประกายไฟลามไปติดถังแก๊ส NGV ที่ติดตั้งเกินมาตรฐาน
“รถบัสเก่าที่ดัดแปลง โครงสร้างไม่ปลอดภัย คนขับไม่มีการอบรมเพียงพอ” เป็นข้อสรุปที่เราได้ยินหลังจากเหตุการณ์นั้น แต่วันนี้…ก็ยังมีรถบัสเก่าๆ วิ่งอยู่บนถนนไทยอยู่ดี!
เมื่อทางลงเขากลายเป็น “ทางลงนรก”
เขาศาลปู่โทน หรือที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ใช้เส้นทางสาย 304 เป็น “จุดตาย” มาหลายครั้งหลายครา เพราะทางลาดชัน คดเคี้ยว อันตรายสูง รถบรรทุกและรถโดยสารหนักต้องใช้เบรกตลอดเวลา ทำให้เกิดความร้อนสูงจนเบรกแตกง่าย
หลายปีที่ผ่านมา อุบัติเหตุซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกิดขึ้นที่จุดนี้ ทั้งรถทัวร์ รถบรรทุก รถกระบะที่เสียหลักพุ่งลงเหว คำถามคือ ทำไมยังไม่มีมาตรการป้องกันที่ชัดเจน?
“ถอดบทเรียน” จนเปลือยล่อนจ้อน แต่…ได้อะไร?
หลังจากทุกอุบัติเหตุครั้งใหญ่ รัฐบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นักวิชาการ และสังคม ลุกขึ้นมาวิเคราะห์ พร้อมคาถาเดิม ๆ ต้องเพิ่มมาตรฐานรถโดยสาร!ต้องอบรมคนขับให้เข้มงวด! ต้องตรวจสอบความพร้อมของถนน! ต้องมีมาตรการป้องกันเฉพาะจุด!
แต่สุดท้าย ทุกอย่างก็เงียบหายไปในความทรงจำ จนกว่าครั้งต่อไป…เมื่อเสียงร่ำไห้ดังระงมขึ้นอีกครั้ง…การถอดบทเรียนค่อยกลับมาอีกที จะวนเวียนแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน?
“รสสองชั้น” ที่ยังเป็นฝันร้ายบนถนนไทย
“รถสองชั้น” ที่มีศูนย์ถ่วงสูงกว่าปกติ ถูกวิจารณ์มานานว่า เป็น “โลงศพเคลื่อนที่” โดยเฉพาะเมื่อวิ่งบนเส้นทางภูเขา เช่น เขาศาลปู่โทน, ดอยอินทนนท์, เขาค้อ หรือถนนเส้นเลี่ยงเมืองบางเส้นที่มีโค้งหักศอก
ในหลายประเทศ รถสองชั้นถูกแบนจากการใช้งานบนเส้นทางภูเขา เพราะอันตรายสูง เช่น ในสหราชอาณาจักรและฮ่องกง รถเหล่านี้มักใช้งานในเมืองที่มีถนนเรียบและเส้นทางตรง เนื่องจากโครงสร้างที่สูงทำให้มีจุดศูนย์ถ่วงสูง เพิ่มความเสี่ยงต่อการพลิกคว่ำ เมื่อขับขี่บนเส้นทางที่มีความลาดชันหรือคดเคี้ยว
แต่ในไทย… มันยังวิ่งได้ปกติ จนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุใหญ่ขึ้น แล้วเราก็จะกลับมาถกเถียงกันใหม่ เบื่อไหม?
แล้วเราต้องรอให้ใครตายอีก?
ไม่ใช่ครั้งแรก และอาจจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย คำถามคือ เราต้องรอให้มีอีกกี่ชีวิตต้องสังเวยไปบนถนนเหล่านี้? จะต้องมีเด็กกี่คนที่ต้องตาย เพราะรถบัสเก่าที่ไฟไหม้? จะต้องมีอีกกี่ครอบครัวที่สูญเสีย เพราะรถเบรกแตกบนทางลงเขา? จะต้องมีอีกกี่โศกนาฏกรรมที่เราต้องกลับมาถอดบทเรียน แล้วสุดท้ายก็ไม่ได้ทำอะไร?
“รถสองชั้น” ที่เอียงจนควบคุมไม่ได้ สองสิ่งนี้ไม่ควรมีที่ยืนอยู่บนถนนไทยอีกต่อไป!
ทางออกที่ไม่ใช่แค่ “ถอดบทเรียน”
ถ้าไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก ต้องมีมาตรการที่ “จริงจังและเข้มงวด” กว่านี้! ยกเลิกการใช้รถโดยสารสองชั้นบนเส้นทางภูเขา ติดตั้งระบบเบรกเสริมและควบคุมการตรวจสอบสภาพรถอย่างเข้มงวด เพิ่มบทลงโทษต่อบริษัทเดินรถที่ละเลยมาตรฐานความปลอดภัย ปรับโครงสร้างถนนบนเส้นทางเสี่ยง ปรับปรุงทางหนีฉุกเฉินให้ใช้งานได้จริง ใช้เทคโนโลยี เช่น ระบบตรวจจับรถที่เบรกทำงานผิดปกติในพื้นที่ลาดชัน
หากเราไม่เริ่ม “ลงมือทำ” อย่างจริงจัง อีกไม่นาน เราก็จะกลับมาเขียนบทความนี้กันอีกครั้ง …แล้วจะยังมีใครเหลืออ่านมันอยู่หรือเปล่า?