ยังคงมีการแสดงความเห็นอย่างต่อเนื่องกับคดีที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พิพากษาจำคุก 2 ปี “ศ.กิตติคุณ ดร. พิรงรอง รามสูต” โดยไม่รอลงอาญา จากกรณีทรูไอดีฟ้องปมอนุกรรมการฯ ทำหนังสือเตือนผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์ 127 ราย ถึงพฤติกรรมของทรูไอดีที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย
ล่าสุดมีความเห็นจากนายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ที่ออกมาแสดงความกังวลว่าคดีนี้อาจส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งต่อระบบยุติธรรมไทย การทำงานของหน่วยงานรัฐ และบทบาทของผู้ที่ทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ เพราะแม้ว่าการพิจารณาในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาอาจเปลี่ยนแปลงผลคดีในทางที่เป็นคุณต่อ “พิรงรอง” ไม่ว่าจะเป็นการยกฟ้องหรือให้รอลงอาญา แต่ผลกระทบต่อสังคมจากคดีนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว และเป็นเรื่องที่ยากจะย้อนกลับ
“ในฐานะนักวิชาการที่ติดตามอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและวิทยุ-โทรทัศน์มานาน และยังเป็นพยานของจำเลยในคดีนี้ จึงรู้สึกทั้งแปลกใจและเศร้าใจกับคำตัดสินที่เกิดขึ้น”
เมื่อกฎหมายกลายเป็นเครื่องมือปิดปาก (SLAPP)
นายสมเกียรติระบุว่า มีผลกระทบสำคัญอย่างน้อย 3 ประการที่ต้องพิจารณา คือ 1. ผลกระทบต่อผู้ทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ คดีนี้อาจเป็นแบบอย่างที่ทำให้กลุ่มทุนมองว่า สามารถใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการฟ้องร้องบุคคลที่เห็นต่างได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟ้องร้องหมิ่นประมาทเพื่อปิดปาก (SLAPP) ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในประเทศไทย หลายกรณีได้รับการบันทึกไว้ในหนังสือ “เมื่อกฎหมายถูกใช้เป็นอาวุธ” ของสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน แสดงให้เห็นว่ากฎหมายสามารถถูกใช้เพื่อจำกัดสิทธิในการแสดงความคิดเห็นและขัดขวางการทำงานเพื่อสังคม
- ผลกระทบต่อการทำงานของหน่วยงานรัฐ คดีนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ทำงานในหน่วยงานรัฐอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยง หากการตัดสินใจของพวกเขาขัดแย้งกับผลประโยชน์ของกลุ่มทุน อาจมีการฟ้องร้องทางกฎหมายเพื่อสร้างแรงกดดันให้หน่วยงานรัฐต้องปรับเปลี่ยนท่าที หรือแม้แต่ละเลยการพิจารณาประเด็นที่อ่อนไหวเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง
- ผลกระทบต่อหลักนิติรัฐและความเชื่อมั่น นายสมเกียรติแสดงความกังวลว่า คดีนี้อาจสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของกระบวนการพิจารณาคดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ศาลตัดสินลงโทษจำเลยโดยไม่ให้เหตุผลอย่างชัดเจนว่าเหตุใดจึงไม่เชื่อคำให้การของจำเลย ทั้งที่เป็นคดีอาญา ซึ่งโดยหลักแล้วศาลจะต้องพิจารณาโดยยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย (Beyond a Reasonable Doubt)
โดยตั้งข้อสังเกตว่า จำเลยถูกลงโทษ ทั้งที่การดำเนินการของ ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง เป็นไปในนามสำนักงาน กสทช. และเป็นไปตามกฎหมายที่มีอยู่ ซึ่งก็คือกฎ Must Carry ที่กำหนดให้ผู้ประกอบการโทรทัศน์ต้องเผยแพร่รายการผ่านผู้ที่ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. เท่านั้น สิ่งที่ทำให้เขากังวลมากที่สุดคือ ศาลเชื่อว่าจำเลยปลอมแปลงเอกสาร ทั้งที่เอกสารดังกล่าวได้รับการรับรองจากคณะอนุกรรมการฯ ที่เกี่ยวข้อง
ศาลฯ ต้องทำให้เชื่อว่าความยุติธรรมเกิดขึ้นจริง
นายสมเกียรติ ชี้ให้เห็นว่า ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางใช้วิธีไต่สวน ซึ่งแตกต่างจากการพิจารณาคดีอาญาทั่วไปที่ใช้ระบบกล่าวหา (Adversarial System) ที่โจทก์และจำเลยสามารถหักล้างกันได้อย่างเท่าเทียม วิธีไต่สวนนี้เปิดโอกาสให้ศาลมีอำนาจในการกำหนดแนวทางของคดีมากขึ้น แต่หากไม่มีการให้เหตุผลที่ชัดเจนเพียงพอ ก็อาจก่อให้เกิดข้อกังขาต่อการใช้ดุลพินิจของศาล ระบบยุติธรรมไม่เพียงแต่ต้องทำให้เกิดความยุติธรรมเท่านั้น แต่ต้องทำให้สังคมเชื่อมั่นว่าความยุติธรรมเกิดขึ้นจริง (Justice must not only be done, but must also be seen to be done) และคดีนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่อาจมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อศาลในระยะยาว
นายสมเกียรติ ยังตั้งคำถามเกี่ยวกับหลักสูตรอบรมของสำนักงานศาลยุติธรรม ที่เปิดโอกาสให้นักธุรกิจเข้าไปมีส่วนร่วมในการอบรมและพบปะกับผู้พิพากษา ซึ่งอาจก่อให้เกิดความไม่โปร่งใสและนำไปสู่ข้อกังวลเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน
ถึงเวลาปฏิรูปก่อนความเชื่อมั่นจะพังทลาย
ประธาน TDRI เรียกร้องให้ผู้บริหารของศาลยุติธรรมศึกษาคดีนี้อย่างละเอียด เพื่อพิจารณาว่ามีจุดผิดปกติหรือไม่ และทำไมคดีนี้จึงได้รับเสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวาง จึงข้อเสนอให้มีการจัดสัมมนาภายในศาลยุติธรรม เพื่อกำชับให้ผู้พิพากษาให้เหตุผลในการตัดสินคดีอย่างชัดเจน รอบด้าน และเป็นธรรม นอกจากนี้ ยังควรพิจารณาทบทวนหลักสูตรอบรมที่อาจทำให้เกิดข้อกังขาต่อความโปร่งใสของกระบวนการยุติธรรม
“คดีพิรงรอง อาจกลายเป็นคดีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าระบบยุติธรรมไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญ ไม่เพียงแต่เรื่องความเป็นอิสระของศาลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสามารถของประชาชนในการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายสาธารณะและต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคม”