การแต่งกายของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 31 กลายเป็นประเด็นร้อนครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งแต่ดรามา “รองเท้าไข่มุก” ในการพบกับ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ไปจนถึงภาพล่าสุดที่เธอสวม เสื้อคลุมตัวยาวลายตาราง ในขณะที่ผู้ร่วมงานคนอื่นแต่งกายอย่างเป็นทางการ
คำถามสำคัญคือ นี่เป็นเพียงเรื่องบุลลี หรือเป็นเรื่องของภาพลักษณ์ที่เธอควรใส่ใจ?
“รองเท้าไข่มุก” จุดเริ่มต้นของคำถามเรื่องความเหมาะสม
ก่อนหน้านี้ แพทองธารถูกวิจารณ์หนักเรื่องการใส่รองเท้าส้นเตี้ยประดับไข่มุก ขณะพบ สี จิ้นผิง ระหว่างการเยือนจีนเมื่อเดือนมกราคม 2568 ซึ่งเป็นการพบปะระดับผู้นำที่มีความสำคัญทางการเมือง
เหตุการณ์นี้ทำให้คนตั้งคำถามว่า ทำไมนายกฯ ไทยถึงเลือกใส่รองเท้าที่ดูเป็นแฟชั่นมากกว่าทางการ? ในขณะที่นายกฯ หรือประมุขของรัฐชาติอื่นมักเลือกใส่รองเท้าที่สะท้อนถึงความน่าเชื่อถือและอำนาจ
เรื่องนี้ลุกลามไปไกลจน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. เพื่อให้ตรวจสอบว่ารองเท้าคู่นี้ และทรัพย์สินอื่น ๆ เช่น iPad ได้ถูกแจ้งในบัญชีทรัพย์สินของนายกรัฐมนตรีหรือไม่
แพทองธารตอบโต้กระแสนี้ว่า เธอไม่แคร์ที่ถูกบุลลีเรื่องการแต่งตัว โดยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าเธอจะใส่อะไรก็ได้ที่สบายและเป็นตัวเอง
คำถามคือ นี่เป็นแค่เรื่องบุลลี หรือเป็นเรื่องของความเหมาะสมในฐานะนายกฯ?
“เสื้อคลุมตาราง” – สะท้อนปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น?
ล่าสุด เธอปรากฏตัวใน เสื้อคลุมตัวยาวลายตารางสีฟ้า-ขาว ดูสบาย ๆ ในขณะที่ผู้ร่วมงานแต่งกายด้วยชุดสูททางการ ระหว่างปฏิบัติภารกิจเข้าร่วมงาน ITB Berlin 2025 ณ กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
หากนี่เป็นแค่เรื่องสไตล์ส่วนตัว ก็คงไม่มีปัญหา แต่ปัญหาคือ เธอไม่ใช่ประชาชนทั่วไปหรือเป็นแค่คนรุ่นใหม่ Gen Y ที่ให้ความสำคัญกับความสบายใจของตัวเอง แต่เธอคือนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ที่ความรับผิดชอบต่อภาพลักษณ์ประเทศต้องมาก่อนความชอบส่วนตัว
หากเปรียบเทียบกับนายกฯ หญิงของประเทศอื่น ๆ เช่น อังเกลา แมร์เคิล (เยอรมนี) ที่มักแต่งกายด้วยสูทสีพื้น เพื่อสะท้อนความน่าเชื่อถือ จาซินดา อาร์เดิร์น (นิวซีแลนด์) ที่ให้ความสำคัญกับการแต่งกายให้เหมาะกับโอกาส หรือแม้แต่ คามาลา แฮร์ริส (รองปธน.สหรัฐฯ) ที่เลือกเสื้อผ้าที่แสดงถึงอำนาจและความมั่นคง
ผู้นำหญิงเหล่านั้นล้วนเข้าใจว่าการแต่งกาย ไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว แต่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ ความเคารพ และการให้เกียรติคู่เจรจา
การแต่งกายของนายกฯ เป็นมากกว่าเรื่องส่วนตัว
แพทองธาร อาจรู้สึกว่าการแต่งตัวไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ในโลกของการเมือง ทุกดีเทลมีความหมาย บารัค โอบามา ถูกวิจารณ์หนักเพียงเพราะใส่สูทสีแทนแทนที่จะเป็นสีเข้มที่ดูเป็นทางการ โจ ไบเดน เคยถูกตั้งคำถามเรื่องใส่นาฬิกาหรู เพราะอาจสะท้อนถึงความไม่เห็นใจประชาชนระดับล่าง แม้แต่ ลิซ ทรัสส์ อดีตนายกฯ อังกฤษ เคยถูกนักวิจารณ์ตะโกนว่า “แต่งตัวเหมือนนักเรียนฝึกงาน”
แล้วแพทองธารล่ะ? การพูดอย่างมั่นหน้าว่า “ฉันจะแต่งตัวยังไงก็ได้ เพราะมันเป็นเรื่องของฉัน” ? ใช้ได้หรือกับคนเป็นผู้นำประเทศ เพราะถ้าต้องการทำอะไรก็ได้ เธอก็อาจไม่เหมาะกับตำแหน่งประมุขฝ่ายบริหารของไทย
“นายกฯ ไทย = หน้าตาของประเทศ”
ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ได้หมายถึงแค่การออกนโยบาย แต่หมายถึง การเป็นตัวแทนของชาติ ในเวทีระหว่างประเทศ
หากเธอต้องพบกับโจ ไบเดน หรือ สี จิ้นผิง เธอจะแต่งตัวแบบนี้หรือไม่?
หากต้องเจรจาทางเศรษฐกิจระดับสูง ชุดของเธอจะสะท้อนถึงความน่าเชื่อถืออย่างไร?
ถ้านี่คือชุดที่เธอเลือกใส่ไปงานสำคัญ ภาพลักษณ์ของไทยในเวทีโลกจะถูกมองแบบไหน?
“แฟชั่นส่วนตัว” สำคัญกว่า “ภาพลักษณ์ของประเทศ” ?
แพทองธาร อาจยืนยันว่าเธอจะแต่งตัวตามสไตล์ของตัวเอง แต่เมื่อเธอรับตำแหน่งนายกฯ มันไม่ใช่แค่เรื่องของเธออีกต่อไป
หากเธอไม่ปรับตัวและยังยืนกรานว่า “นี่เป็นเรื่องส่วนตัว ฉันแต่งตัวยังไงก็ได้” มันอาจสะท้อนว่าเธอ ยังไม่เข้าใจความสำคัญของตำแหน่งที่เธอดำรงอยู่
เพราะคนเป็น “นายกฯ” ต้องคิดถึงประเทศชาติ ประชาชนก่อนคิดถึงตัวเอง! ต้องเข้าใจว่าประชาชนคิดอะไร ก่อนที่จะเรียกร้องให้ประชาชนหรือเข้าใจในตัวเธอ แต่ถ้ายังยึดตัวตนเป็นหลัก ก็ต้องย้ำอีกครั้งว่า…แพทองธาร ที่เป็นแบบนั้นไม่เหมาะกับนายกฯ ของไทย