นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส. นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้ร่วมวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองปัจจุบันผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ของ The Publisher ซึ่งดำเนินรายการโดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร โดยเน้นไปที่กรณีที่ คณะกรรมการคดีพิเศษ (คกพ.) มีมติรับเพียงคดี ฟอกเงิน เป็นคดีพิเศษ และให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ดำเนินการ แต่ไม่รับคดี ฮั้ว ส.ว. และ อั้งยี่ ซ่องโจร ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าการสืบสวนครั้งนี้จะสามารถนำไปสู่เป้าหมายที่แท้จริงหรือไม่
“รับแค่คดีฟอกเงิน แล้วคดีฮั้ว ส.ว. หายไปไหน?”
นายเทพไท ตั้งข้อสังเกตว่า ทำไม DSI ไม่ทำให้ครบวงจร? การรับเรื่องเพียงบางส่วนอาจทำให้ประชาชนสงสัยว่า DSI สามารถสาวไปถึงการฮั้ว ส.ว. ได้จริงหรือไม่ เพราะ เป้าหมายสำคัญของประชาชน คือการล้มกระดาน ส.ว. ที่ถูกมองว่ามีการบล็อกโหวตและฮั้วผลการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อโยนเรื่องให้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดำเนินการแทน ก็เกิดคำถามใหม่ว่า กกต. จะสามารถดำเนินการได้จริงหรือไม่ เนื่องจากคดีนี้ ซับซ้อนและละเอียดอ่อน
“ถ้าหาก กกต. ทำได้ ก็น่าจะทำไปนานแล้ว” นายเทพไทกล่าว พร้อมตั้งข้อสงสัยว่า นี่อาจเป็นเกมต่อรอง ที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาทางการเมือง ระหว่าง นายเนวิน ชิดชอบ และนายอนุทิน ชาญวีรกูล กับ นายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.แพทองธาร ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ซึ่งอาจเป็นเหตุผลว่าทำไม DSI รับแค่คดีฟอกเงิน เพื่อรักษาหน้าทางการเมือง แต่ไม่แตะต้องเรื่องการเลือก ส.ว.
“เรื่องนี้ ตกลงกันไว้แล้วหรือไม่?”
นายเทพไทชี้ให้เห็นว่า คดีฟอกเงิน อาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนการต่อรองทางการเมือง โดยมองว่า หากไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ การเจรจาทางการเมืองอาจไม่มีเงื่อนไขต่อรอง ดังนั้นการเลือกให้ DSI รับแค่คดีฟอกเงิน อาจเป็นกลยุทธ์ “ผูกขา” ส.ว. ไม่ให้เล่นเกมการเมืองตามอำเภอใจ
“นี่อาจเป็นการประนีประนอม หรือการฮั้วอำนาจ” ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดที่มีการพูดถึงว่า “เปลี่ยนสีน้ำเงินเป็นสีแดง” (จากฝั่งอนุรักษ์นิยมเป็นฝั่งเพื่อไทย)
นายเทพไทเชื่อว่า หากต้องการให้กระบวนการเลือก ส.ว. เป็นไปอย่างบริสุทธิ์ โปร่งใส และยุติธรรม ควรสอบสวนตั้งแต่ต้นจนจบ แต่การที่ DSI เลือกสอบแค่คดีฟอกเงิน ทำให้เกิดข้อกังขาในสังคมว่าทำไมถึงหยุดแค่นี้
“หลังจากนี้ จะได้เห็น ส.ว. ผสมสี แชร์อำนาจทางการเมือง?”
จากการวิเคราะห์ของนายเทพไท ดีลทางการเมืองที่เกิดขึ้น อาจทำให้ ส.ว. ถูกแบ่งผลประโยชน์ระหว่างพรรคการเมือง ไม่ใช่การเมืองอุดมการณ์แบบเดิมอีกต่อไป “นี่คือการฮั้วประโยชน์ทางการเมือง สิ่งที่พรรคหนึ่งต้องการ ก็ให้ไป แบ่งกัน เอื้อกัน” ต่างจากอดีตที่พรรคฝ่ายรัฐบาล ปิดกั้นอำนาจของพรรคอื่น แต่ครั้งนี้กลับเป็นการ “แบ่งอำนาจกันอย่างลงตัว” สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันไม่ได้บริหารด้วยอุดมการณ์ทางการเมือง แต่เป็นการประสานผลประโยชน์ระหว่างกัน โดยที่ ประชาชนและประเทศชาติไม่ได้อยู่ในสมการนี้เลย
“DSI รับเฉพาะฟอกเงิน เพราะห่วงอำนาจตามกฎหมาย หรือเพราะการเมือง?”
มีข้อสังเกตว่า คณะกรรมการคดีพิเศษ (คกพ.) อาจกังวลเรื่องอำนาจตามกฎหมายของ DSI จึงเลือกให้ กกต. เป็นผู้ดำเนินการคดีฮั้ว ส.ว. แต่ข้อเท็จจริงคือ อนุกรรมการกลั่นกรองได้มีความเห็นว่า DSI สามารถทำคดีนี้ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ฮั้ว อั้งยี่ ซ่องโจร และฟอกเงิน “พูดตรง ๆ คกพ. ไม่ใช่บอร์ดมืออาชีพ แต่เป็นบอร์ดการเมือง”
นายเทพไทตั้งข้อสังเกตว่าการที่คดีถูกแบ่งเป็นส่วน ๆ อาจสะท้อน การล็อบบี้ทางการเมืองจากภายนอก และเมื่อมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ความหวังที่จะเดินหน้าคดีให้สุดทางก็ลดลงไปด้วย “สุดท้ายแล้ว อาจไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย”
“จากคดีฮั้ว ส.ว. ถึงนักการเมืองฮั้วกัน?”
นายเทพไทเชื่อว่า ผู้ที่หวังให้มีการล้มกระดานเลือก ส.ว. ใหม่ อาจต้องผิดหวัง เพราะ กระบวนการสืบสวนอาจถูกยื้อไปจนกว่าส.ว. จะหมดวาระ
“ประชาชนรู้กันหมดว่า มีการฮั้วกัน แต่ กกต. กลับทำเป็นไม่รู้” จากประสบการณ์ที่ผ่านมา กกต. มักจะใช้วิธี “ปล่อยผีหนึ่งปี แล้วค่อยมาสอยทีหลัง” ซึ่งสุดท้ายก็ ไม่สามารถเอาผิดใครได้เลย ดังนั้น การส่งคดีฮั้ว ส.ว. ไปให้ กกต. อาจไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่าการซื้อเวลา
“คดีฮั้ว ส.ว. จะเดินหน้าหรือไม่?”
นายเทพไท ประเมินว่า กกต. จะทำคดีแบบขอไปที ในขณะที่ DSI อาจพยายามทำให้โปร่งใส แต่ก็ต้องเผชิญแรงกดดันทางการเมือง “ตอนนี้ เกมการเมืองอยู่ในมือแค่สองพรรค คือเพื่อไทย และภูมิใจไทย” พรรคอื่น ๆ ถูกลดบทบาทให้กลายเป็นเพียง “ผู้ตาม” และต้องยอมรับเงื่อนไขที่ถูกกำหนดขึ้น
“บ้านจันทร์ส่องหล้า: ศูนย์กลางของดีลการเมือง?”
นายเทพไท มองว่าการพบกันของ เนวิน – อนุทิน – ทักษิณ – อุ๊งอิ๊งค์ สะท้อนให้เห็นว่า การเมืองไทยตอนนี้ถูกกำหนดโดยพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทย ขณะที่พรรคอื่น ๆ ไม่มีอำนาจต่อรอง “ภูมิใจไทยได้เปรียบ เพราะมี ส.ว. ในมือ ทำให้เพื่อไทยต้องประสานผลประโยชน์ เพื่อรักษาสมดุลทางอำนาจ”
สุดท้ายแล้ว การเมืองในปัจจุบันเป็นเพียงเกมแห่ง “ผลประโยชน์ร่วม” ที่ไม่มีใครพร้อมจะทำให้ถึงขั้นแตกหัก เพราะ ทุกฝ่ายยังต้องการรักษาอำนาจของตัวเอง และเป็นการเมืองที่ไม่เห็นหัวประชาชน
ศึกซักฟอก เปลี่ยนอำนาจไม่ได้ ต้องลุ้นที่สนามเลือกตั้ง!
นายเทพไทเชื่อว่า พรรคประชาชน ควรใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แม้จะถูกจำกัดเวลาอภิปรายก็ตาม แต่ก็ควรทำให้ประชาชนเห็นว่า การเมืองวันนี้ไม่ใช่การเมืองของประชาชนอีกต่อไป แต่คาดว่าคงจบแบบไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการเมืองได้ พร้อมแนะให้จับตาการลงคะแนนของ สามอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กับนายสรรเพชญ บุญญามณี สส.สงขลา ที่อาจไม่เป็นไปตามมติพรรค แต่ก็ยังเชื่อว่าทุกพรรคจะกอดคอประคองอำนาจ เพราะไม่พร้อมที่จะเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ถ้าเลือกตั้งตอนนี้ก็เชื่อว่าจะแพ้พรรคประชาชน “แม้พรรคประชาชนจะดูไม่ฟู่ฟ่า แต่ถ้าถึงวันเลือกตั้ง มีประเด็นที่ชัดเจน คนก็เทคะแนนให้ได้ เหมือนปี 2566 คนเบื่อรัฐบาลพล.อ. ประยุทธ์ ความชัดเจนในสโลแกน มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง ทำให้ได้สส.มาเป็นอันดับหนึ่ง ขณะที่พรรคเพื่อไทยยึกยักไม่ชัดเจน ปรากฏการณ์แบบนี้อาจเกิดได้อีก ขึ้นอยู่กับประเด็นและสถานการณ์การเมือง ณ วันที่มีการเลือกตั้ง