ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน เปิดเผยกับ The Publisher ถึงสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยที่ยังคงดิ่งลงต่อเนื่อง แม้ว่ารัฐบาลจะออก กองทุน Thai ESG Extra มาเพื่อรองรับการสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนจาก LTF พร้อมให้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีสูงสุด 500,000 บาท สำหรับผู้ลงทุนเดิม และ 300,000 บาท สำหรับผู้ลงทุนใหม่
แต่เธอมองว่า มาตรการนี้ไม่ใช่ ‘ยาแก้ปวด’ ที่ช่วยรักษาปัญหาตลาดทุนได้จริง แต่เป็นเพียง ‘ยาแดง’ ที่แค่แต้มแล้วดูเหมือนดีขึ้น
“แม้รัฐบาลจะพยายามผ่อนหนักเป็นเบา แต่คนที่ถือ LTF มาจนถึงตอนนี้ ส่วนใหญ่ก็ขายไปแล้ว ที่ยังเหลืออยู่ หากต้องแปลงไปเป็น Thai ESG Extra ก็น่าจะมีความกังวลว่ามันจะรอดหรือไม่ ทำให้เกิดภาวะแบบ ‘ดีใจชั่ววูบ’ พอหันไปมองพอร์ตตัวเองก็กล้า ๆ กลัว ๆ จนสุดท้ายตัดสินใจขายออกเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในอนาคต”
นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น เพราะปัญหาธรรมาภิบาลยังไม่ถูกแก้ไข
ศิริกัญญาระบุว่า อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนไม่กล้าเข้าลงทุนในกองทุน Thai ESG Extra คือ ปัญหาความโปร่งใสของบริษัทที่อยู่ในกองทุน
“บริษัทเหล่านี้อาจมีเครื่องหมาย ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) แปะอยู่ แต่ปัญหาหลักอยู่ที่ตัว ‘G’ หรือ Good Governance เพราะตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังไม่มีมาตรการที่จริงจังในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการกำกับดูแลบริษัท”
เธออธิบายว่า นักลงทุนรายย่อยที่เคยรู้สึกถูกเอาเปรียบจากบริษัทใหญ่ คงไม่อยากเข้าไปเสี่ยงอีกครั้ง เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ยังลังเลกับตลาดหุ้นไทย
“กองทุน Thai ESG Extra ซ้ำรอยกองทุนวายุภักดิ์ ตอนแรกตลาดตอบรับดี แต่สุดท้ายก็พยุงมูลค่าตลาดไว้ไม่ได้ จนทรุดตัวลงเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน”
“ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ตลาดหมี การปฏิรูปต้องเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้!”
ศิริกัญญามองว่า ขณะนี้ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ “ตลาดหมี” (Bear Market) มาระยะหนึ่งแล้ว เพราะมีความผันผวนและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก แต่เธอกลับมองว่านี่คือ “จังหวะที่ดี” ในการผลักดันการปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์อย่างจริงจัง
“ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องรื้อกฎเกณฑ์ใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่การปราบปรามการปั่นหุ้น การใช้อินไซเดอร์เทรดดิ้ง การที่บริษัทขนาดใหญ่เอาเปรียบนักลงทุนรายย่อย เราต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่กับระบบกำกับดูแลที่เข้มแข็ง โปร่งใส และเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนรายย่อยที่สุด”
เธอย้ำว่า ไม่มีใครปฏิเสธการปฏิรูปครั้งนี้แล้ว แต่ปัญหาคือ… ยังไม่มีใครเริ่ม
“การปฏิรูปตลาดหุ้นล่าช้า รัฐบาลต้องเป็นกองหน้าลงมาเล่นเอง”
เมื่อถูกถามว่า เหตุใดยังไม่เห็นสัญญาณการปฏิรูป? ศิริกัญญา กล่าวว่า
“ทุกอย่างยังล่าช้า รี ๆ รอ ๆ แม้แต่กฎหมายที่จะติดดาบให้สำนักงาน ก.ล.ต. มีอำนาจเพิ่มขึ้น ก็ยังดีเลย์มาต่อเนื่อง 2-3 เดือนแล้ว”
เธอเตือนว่า หากยังไม่ลงมือทำอะไรเลย ปัญหาจะเรื้อรังจนแก้ยาก และตลาดหุ้นไทยจะยิ่งเสื่อมความน่าเชื่อถือ
“แม้ในอนาคตเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น กำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตขึ้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับมา ถ้าเขายังไม่เชื่อมั่นในระบบของเรา”
เมื่อถูกถามว่า ใครควรเป็นคนผลักดันให้การปฏิรูปเกิดขึ้นจริง? เธอตอบอย่างหนักแน่นว่า “รัฐบาลต้องเป็นกองหน้าลงมาเล่นเอง”
“มาตรการชั่วคราวไม่พอ ต้องมีแพ็กเกจปฏิรูปตลาดทุนที่ครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่การดูแลสภาพคล่อง การพยุงตลาด ไปจนถึงการกำกับดูแลที่เข้มแข็งและโปร่งใส”
เธอยังกล่าวเสริมว่า รัฐบาลรู้ปัญหานี้ดี แต่ติดนิสัยสั่งการแล้วคาดหวังว่าทุกฝ่ายจะทำตาม ซึ่งในความเป็นจริงต้องมี “ความมุ่งมั่นจริงจัง” ถึงจะแก้ปัญหาได้
“นายกฯ ต้องนั่งหัวโต๊ะ ถ้าเป็นรัฐบาลพรรคประชาชน นายกฯ จะต้องกำกับเรื่องนี้เองแบบรายสัปดาห์ ตัดสินใจเด็ดขาด ไม่ใช่แค่ออกคำสั่งแล้วรอผลลัพธ์ แต่ต้องเคาะให้ผ่านไปทีละข้อ เอาผลงานมาโชว์ความคืบหน้าทุกอาทิตย์”
“นายกฯ มีภาวะผู้นำพอจะแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่?”
เมื่อถูกถามว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธารมีความสามารถพอจะแก้ปัญหานี้หรือไม่? ศิริกัญญาหัวเราะก่อนตอบว่า “เป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะมันต้องอาศัย 3 ปัจจัยสำคัญคือ ความรู้ความสามารถ, ความมุ่งมั่นตั้งใจ, และภาวะผู้นำ”
เธอกล่าวว่า ถ้าขาดปัจจัยใดไป ความน่าเชื่อถือของนายกฯ ก็จะลดลง
“ถ้านายกฯ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นจริงจัง จัดประชุมทุกสัปดาห์ ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เคาะให้ผ่านทีละเรื่อง ความเชื่อมั่นก็อาจจะกลับมาได้ แม้ว่านายกฯ จะไม่มีความสามารถด้านตลาดทุนโดยตรงก็ตาม”
แต่ปัญหาคือ “เราเห็นนายกฯ ไปนั่งหัวโต๊ะจริงในหลายเรื่อง แต่ก็ยังไม่เห็นภาวะผู้นำที่ส่งสัญญาณว่ามีความมุ่งมั่นตั้งใจจริงในการแก้ปัญหา”
“ประเทศไทยเสียโอกาสมหาศาล เพราะปัญหาภาวะผู้นำ”
ศิริกัญญาชี้ว่า ปัญหาผู้นำที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสทางเศรษฐกิจและการเมืองไปอย่างมหาศาล
“เราต้องยอมรับว่าที่ผ่านมา เราเพิ่งผ่านรัฐบาลที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ประชาชนแสดงพลังด้วยการเลือกตั้งเพื่อเปลี่ยนแปลง แต่เรากลับได้รัฐบาลที่ไม่สามารถใช้โมเมนตัมนี้ผลักดันเศรษฐกิจให้เดินหน้าได้”
เธอย้ำว่า ตั้งแต่รัฐบาลเศรษฐาไปจนถึงรัฐบาลแพทองธาร ยังไม่มีใครสามารถนำพาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างเต็มที่
“เรามีโอกาสมหาศาลในการปฏิรูปตลาดทุน สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน และทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมามีศักยภาพ แต่เรากลับปล่อยให้โอกาสเหล่านี้หลุดลอยไป”