กรณีคุณแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ต่อหน้าสื่อประเด็นที่มีการถามถึงคุณเรืองไกร ในลักษณะทำนองว่ามีการเรียกรับผลประโยชน์แลกกับการไม่ถูกตรวจสอบ ผิดกฎหมายหรือไม่นั้น ด้านเรืองไกรสวนกลับจ่อฟ้องเอาผิดจริยธรรม-หมิ่นประมาท พร้อมยื่นตรวจสอบทรัพย์สินเพิ่ม กรณีคู่สมรส-นายกรัฐมนตรี รายการต่อปปช. ไม่ครบทุกรายการ พูดคุยกับ คุณเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นักตรวจสอบ ในรายการเที่ยงเปรี้ยงปร้าง The Publisher ดำเนินรายการ โดย คุณสมจิตต์ นวเครือสุนทร
The Publisher: คุณเรืองไกรมองคำพูดนายกรัฐมนตรีในเรื่องนี้ว่าอย่างไร?
คุณเรืองไกร: นักข่าวถามว่า ผมยื่นหนังสือไปแล้ว ผมไปข่มขู่ ข้อมูลตรงนี้ไม่ใช่ข้อเท็จจริง พูดต่อหน้าสื่อมันไม่ถูกต้อง ผมต้องดูว่ามันผิดตามมาตรฐานจริยธรรมด้วยหรือไม่ หมิ่นประมาทด้วยหรือไม่ คือเราไม่ได้ติดต่อ ปปช. ทุกคนที่ยื่นไป เราก็ตรวจมาปกติ แต่รายการที่ตรวจรายการเดียวจากหลายๆ ก็คือรายการที่คู่สมรสที่อยู่กินกันฉันสามีภรรยา เขียนไว้ คือไม่ได้จดทะเบียน และ เขาก็ไประบุว่ามีเงินให้กู้ยืม บริษัทวินแคปปิตอล แล้วลงรายได้มีดอกเบี้ยแต่น้ำแสนกว่าบาท ก็คิดแล้วร้อยละ 3% ตรงนี้แล้วก็ตรวจอีกด้านหนึ่ง ผมต้องขอหนังสือรับรอง กรมพัฒนาธุรกิจการค้ามาดูว่า การให้กู้ยืมมีดอกเบี้ยเนี่ยมันมีความสัมพันธ์อะไรกันหรือไม่ ปรากฏว่า งบ พี่ขอมาดูนะครับ ก็มีกรรมการอยู่ 5 ท่าน แล้วก็รายชื่อผู้ถือหุ้นเนี่ยมี 14 คน คนละ 7000 นะครับ 13 คน อีกคนคือคุณอ๋อม ลูกท่านเสริมศักดิ์ หัวหน้าไทยรักษาชาติเก่า อันนั้นถือ 9000 อันนั้นเราก็ไม่ว่า แต่หมายเหตุข้อ 9 เนี่ยเขาเป็นเขียนว่าเป็นเงิน กู้ยืมจากกรรมการ คำว่า กรรมการก็หมายความว่าคุณปิฎก น่าจะเป็นกรรมการบริษัทนี้ ซึ่งไม่มีชื่ออยู่ นะครับ อันนี้ก็ย้อนไปดูมาบัญชีที่นายกอิ๊ง เขาแจ้งไป ปปช. ประวัติของนายกอีกเนี่ยเขาก็แจ้งมา หน้าครึ่งได้แจ้งมายาวเหยียดเลย แต่ของคู่สมรสเนี่ยนะฮะ แจ้งรายการเดียวคือเป็นประธานบริษัท อะไรสักอย่างหนึ่ง ดังนั้นมันก็ไม่ใช่เงินกู้ยืนกรรมการ เมื่อไม่ใช่เงินกู้ยืนกรรมการเนี่ย มันก็เกิดปัญหา ก็คือว่า 1 ถ้าบริษัท วินจ่าย มีหน้าที่ต้องหักภาษี ร้อยละ 15 2. ถ้าให้กู้ยืมเป็นปกติวิสัย ยืมมาแล้วปล่อยกู้ต่อ ก็ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ 3. รายได้ที่ไปยื่นภาษี มีรายการนี้อยู่ไหม ซึ่งไม่มีการกรอกรายได้ทรัพย์สิน คนเป็นนักบัญชีเนี่ย ใครดูปุ๊บเนี่ยนะครับอย่างผมดูเนี่ย อันนี้ไม่ดูในเชิงกฎหมายนะ ดูแบบนั้นบัญชีปุ๊บเนี่ยเราก็ถามได้เลยว่า ไอ้ตัวนี้มันมีสิ่งผิดปกติ ตามมาตรา 114 ขี่ ของกฎหมาย ปปช.ตรงไหนด้วยหรือไม่ เพราะฉะนั้นปปช. เขาจะดูบัญชีสู้ผมไม่ได้หรอก แล้วก็ถามไปคิดว่า รายละเอียดเนี่ย มันถูกต้องครบถ้วนแค่ไหน ตอนนี้นายกเนี่ย เขาคงฟังไม่ได้ศัพท์ นะครับ เพราะรีบพูดกัน การที่พูด คำพูดมันพูดไปแล้วเนี่ย ผมก็เสียหาย นะครับ สำหรับว่า เอ๊ะ ผมจะยังไม่ได้ยื่นนะ เตรียมจะยื่นแล้วก็ เป็นต่อรอง แล้วไปเอาเรื่องว่าลูกเรียนเมืองนงเมืองนอกทำนองนั้นเนี่ย มันไม่ได้เกี่ยวกันเลยนะครับ ลูกผมเรียนจะจบปริญญาเอกอยู่แล้วนะครับ ตั้งแต่คุณยังไม่เข้าการเมืองยังไม่เป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย แล้วเราก็ไม่เคย ไม่เคยทำเรื่องที่อะไร จะร้องคนนู้นคนนี้ แล้วเอาคำร้องไปให้เขาดูเสร็จก็บอกว่า เฮ้ย ผมอย่าร้องคุณนะ ถ้าคุณไม่ให้ผมร้องเนี่ย คุณต้องจ่ายค่านู่นค่านี่ ผมอะไรมาแขวนหน้าบ้านผมเนี่ย อะไรอย่างงี้ไม่มีนะ
The Publisher: จะดำเนินการอย่างไรจากคำพูดคุณอุ๊งอิ๊งที่ทำให้เกิดความเสียหาย?
คุณเรืองไกร: ก็ในเรื่องจริยธรรมก็คือให้ข่าวต่อสาธารณะ แล้วก็มียืนรัฐมนตรียืนด้านหลังเยอะแยะเนี่ยนะครับ ฉะนั้นมันก็ขัดข้อใดข้อหนึ่งอยู่แล้ว ส่วนเรื่องว่าทำให้เราเสียหายในเชิงว่า หมิ่นแล้วว่าเราเนี่ย ไปเรียกทรัพย์ รีดเอาทรัพย์ เพื่อที่จะไม่ร้องเนี่ยมันมันก็เป็นประเด็น อันนี้ก็เดี๋ยวต้องให้ทางกฎหมายของผมดูอีกที ก็ยังมีเวลาอยู่ครับ
The Publisher: ทำไมคุณแพทองธารตอบคำถามนี้ด้วยการพาดพิงในลักษณะนี้?
คุณเรืองไกร: ตรงนี้เนี่ยแปลก นะครับ คือผมไม่ได้เคยเจอกัน สมัยที่คชส.ก็เคยดูแลหน่อย แล้วก็ตอนอยู่เพื่อไทยก็ไม่เคยเจอ แต่รู้ข้อมูลของผมเนี่ย ก็แสดงว่าเป็นคนที่รู้เนี่ยมาอธิบาย ให้ฟัง แต่อาจจะจับประเด็นไม่ถูก มันจับประเด็นไม่ถูกแล้วเนี่ย ก็คิดว่า เราไปหาเรื่องคนนู้นคนนี้ ก็ข่าวที่ คุณอิ๊งยื่นปปช. ใครเขาก็ลงกันพูดกัน ไอ้เงินกู้ 4 พันล้าน ระหว่างครอบครัวเขาก็ลง ใช่ไหมฮะ เงินที่ อ่า ให้กู้ยืมของสามี เขาก็มีการพูดกันไหม แต่ผมเนี่ยเมื่อดูเนี่ยผมจะไล่ทีละรายการ ก็ยื่นปปช. ไปตามสิทธิ์ของเรา คุณอิงค์เนี่ย เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องเปิดเผย เปิดเผยให้เสร็จแล้วก็ตรวจสอบ แล้วเราไม่มีข้อมูลอื่น ตีมั่วเลยนะ คือเอามาจากแผ่นลายมือที่เซนต์นะฮะ ส่งไปที่ปปช ว่าไอ้รายการนี้ดอกจันทร์เนี่ยมันไปสัมพันธ์กับรายการของ หนังสือรับรองกรมพัฒนาธุรกิจการค้าตรงไหนหรือไม่ แต่เข้าใจว่าท่านเนี่ย พอนักข่าวถาม ท่านก็บอก อ๋อ เรืองไกร แล้วก็พูดว่า เออ ผมพูดว่าจะฟ้อง คือพูดชื่อเรืองไกรขึ้นมาก่อน แล้วก็อธิบายความ อันนี้นัยยะเนี่ย ท่านต้องไปศึกษาฝ่ายกฎหมายของท่านบ้างนะว่าคำพูด มันปรากฏแล้วล่ะ หลักฐานผมเก็บทุกช่องเลยนะตอนนี้
The Publisher: คุณหมายถึงว่าเรารู้สึกว่าคำพูดของนายกกับบริบทที่ตามมา ทำให้คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากหมายถึงคุณเรืองไกร?
คุณเรืองไกร: เหมือนผู้คือข่าวถามผมเนี่ยก็จะมาถามผมเนี่ย จะไม่ถามถึงคนอื่นถูกไหม เพราะคำร้องเนี่ย ผมเพื่อให้ผู้สื่อข่าวดูหลังจากนี้ที่ ผมส่งไปรษณีย์ตีเลข ลงทะเบียนแล้ว ใบเสร็จแล้ว ผมถึงส่งไปให้ ถ้าไม่มีทางที่จะบอกว่าผมไม่ได้ส่ง ไม่ได้ร้องเลย
The Publisher: คุณเรืองไกรไม่ได้มีอาชีพ แล้วนำรายได้มาจากไหน มาจากการตรวจสอบเรื่องนี้หรือไม่?
คุณเรืองไกร: อือ ทุกคนก็คิดได้ แต่ถ้าไปดูบัญชีปปช. ผมตั้งแต่ผมเป็น สบ. ปี 51 ผมก็มีเงินเก็บของผม กับภรรยา ก็คำนวพอสมควร แล้วปปช ถ้าเคยตรวจและออกหนังสือว่าเงินของผมเนี่ยถูกต้อง นะครับ เพราะการที่เราเป็นมาอีก 10 กว่าปีเนี่ยนะฮะ เงินได้ของภรรยาผมเลือกผม ปีนึงไม่ได้น้อยนะครับ แล้วเราก็มีงานเก็บสะสมกันไว้ เพราะฉะนั้นจะมาบอกว่าเราไม่มีอาชีพ ผมเนี่ย ออกมาเนี่ย เนื่องจากโปรไฟล์เขาดี ผมมันไม่ค่อยมีอะไรเนี่ย เราก็ทำงานอิสระเป็นฟรีแลนซ์ ให้กับหลายๆที่ ขณะเดียวกันทางการเมือง เราก็เคยไปช่วย เหมือนกับพรรคเพื่อไทย เขาก็รู้ว่าผมเนี่ยอยู่ในทีมยังไง เคยมีเรียกร้องอะไรตำแหน่งไม่เคยขอ ยกเว้นเรื่องงบประมาณอันเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกว่าอย่างนี้มันไม่ถูกละ คือตกลงกันแล้ว อย่างนี้เราก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ เขาบอกว่าเรื่องนิดเดียว ผมบอกไม่ใช่ ผมไม่ได้ทำงานเพื่อตำแหน่งเพื่อจะเป็นผู้แทน เพื่อจะเป็นตำแหน่งนั้นตำแหน่งนี้แต่เราทำงานเพราะเราชอบเรารัก เพราะงั้นที่มาสงสัยว่า เราร้องตบทรัพย์ ไปฟ้องผมอ่ะ ก็ขนาดที่ดิไอคอน มันมีเว็บอีซ้อ บอกว่า มีเรืองไกรเข้าไปคุยด้วย ผมยังไม่รู้จักเลย ถ้ารู้จักก็ มีชื่อผม เข้าบัญชีผม ก็ไปแจ้งตำรวจสิ ไม่เห็นต้องมาเขียนแบบ อะไรอ่ะ โยนหินถามทาง สมมติว่าเราจะกลัวเราจะสะดุ้งอะไรอย่างนี้ ไม่เกี่ยว เงินผมเนี่ยทุกบาทเราทำบัญชีมาเนี่ย ตั้งแต่อยู่ สตง. แล้ว ใบเสียภาษีก็มีครบหมด สิ่งที่เราร้องท่านนายกไปเนี่ยก็มาจากความรู้ความชำนาญของตัวเราเอง แต่ตัวท่านนั่นแหละ ไม่รู้แล้วพูดออกมาเนี่ย อันเนี้ย มันคำพูดเป็นนายแล้วล่ะ ท่านอาจจะต้องแก้คดีแล้วล่ะนะฮะ อันนี้ก็เดี๋ยวผมดูรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
The Publisher: คุณเรืองไกรได้อะไรจากการตรวจสอบนักการเมือง?
คุณเรืองไกร: ก็ทำให้พี่น้องปปช.รู้ ผมไม่ได้ทำอะไรมากมาย อุปกรณ์ ซื้อซองมา พรรคนึงก็ ห้าสิบซอง ซองละ50 ไปรษณีย์สัก 54 บาทโดยเฉลี่ย แต่ส่วนใหญ่เราใช้สมอง เขาใช้คอมพิวเตอร์ใช้ ปรินเตอร์มันไม่ไม่กี่บาท เราไม่มีการไปนั่ง เชิญนักการเมืองมากินกาแฟมาคุย บอกเจอกันตรงนั้น โรงแรมนั่นโรงแรมที่เรามาคุยกันนะ ว่าคุณมีเรื่องอย่างงี้นะถ้าผมแฉออกไปคุณตายแน่นะ ไม่มีนะ ผมอยากจะเก็บก่อน แล้วถ้าถึงเมื่อผมร้องก็พอร้องเสร็จ มาถามผมว่าร้องทำไม เพราะอะไร ผมก็บอกทำไมคุณไปลงตัวนั้นอ่ะ ผมยกตัวอย่างนะ อย่างทีมนายกที่เป็นผู้ถือหุ้นตัวนึงในบริษัทนี้ ไปมีที่ สปก. ผมก็ร้องไป แต่เขาก็ถามผมว่ามันมีปัญหาอะไรกับเขาหรือเปล่า ถึงร้อง เพราะว่าผมไม่มีปัญหากับคุณหรอก คนรู้จักกัน แต่คุณเขียนว่าคุณมีที่ สปก เราก็ต้องให้ตรวจเสร็จการถือที่สปก. มันผิดกฎหมาย หรือถูกกฎหมายหรือไม่ อย่างไร ส่วนใหญ่ก็จะเป็นอย่างเงี้ยครับ คือร้องไปแล้ว แล้วเขาก็บอกว่าเรืองไกรร้องแล้ว บางคนเขาก็จะถามบางคนก็บอกผมก็บอกว่า คุณก็ไปแก้ข้อกล่าวหาเอา ในเมื่อคุณเป็นคน อาสาก็มาเป็นนักการเมือง เข้ามาเรียนหลักสูตรนั่นหลักสูตรนี่ คุณต้องเป็นผู้มีความรู้แล้ว ทั้งนี้เวลาเขาให้เปิดเผยก็เพื่อให้เปิดเผยประชาชนช่วยตรวจสอบ นะครับ ผมไม่ได้ใช้เวลาอะไรมากมายนะ แต่ละเรื่องเนี่ย เราอย่างมากอาทิตย์ 1 ผมก็เตรียม อาทิตย์หน้าเนี่ยผมก็เตรียมอีกบริษัทเต็มของนายกเนี่ยแหละ หนังสือก็ขอมาแล้ว แต่ว่าเขียนมัดรวมกันทีเดียวไปเนี่ย สื่อเองก็อาจจะอ่านแล้วไม่เข้าใจ นะครับ เราก็ไล่ แล้วก็ต้องขอบคุณสำนักข่าวอิศรา เขาก็ไล่คู่ขนานกับผมเนี่ย เขาก็เอาข้อมูลขึ้นมาพูด ผมก็จะใช้หนังสือรับรองของกลุ่มภาพ แบบในเว็บ ปชช. เป็นหลัก
The Publisher: ตอนนี้มีประเด็นสนใจสำหรับบัญชีทรัพย์สินของคุณแพทองธาร ประเด็นไหนบ้าง?
คุณเรืองไกร: ประเด็นที่กู้ยืมระหว่างญาติ นั่นก็มีประเด็น ประเด็นทรัพย์สินเนี่ยนะครับ เรื่องที่มีทรัพย์สินอื่นรวมเป็นรายงานร่วม อันนี้ก็มีประเด็น เพราะว่าถ้าคนเป็นนายกรัฐมนตรีมีทรัพย์สินอย่างนี้นะครับมันถูกต้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่ อันนี้เดี๋ยว เดี๋ยวเวลาเขียนแล้วจะรู้นะครับ ยังไม่บอกอะ ถ้าบอกไป จะหาว่าส่งคนมาเจรจาต่อรองอีกยุ่งกันไปใหญ่
The Publisher: ทรัพย์สินอื่นที่คุณเรืองไกรพูด คือของแบรนด์เนมใช่หรือไม่?
คุณเรืองไกร: คือทุกรายการเขาลงรวบยอดหมด แต่ว่ารูปถ่ายอะไรเนี่ย เราต้องเสียเวลาไปที่ ปปช. แต่วิธีตรวจเนี่ยเราไม่จำเป็น เราก็เขียนถัดไปที่ปปช.เลย ตามแนวการตรวจสอบรายอื่น ใช้ตรวจสอบรายละเอียดยังไง นายกก็ต้องถูกตรวจอย่างนั้น ผลการตรวจสอบที่ที่เคยเปิดเผยออกมาเนี่ย เราก็ใช้แนวของปปช นั่นแหละถามกลับไปว่าสำหรับ นักการเมืองรายนี้ คือตัวนายกรัฐมนตรีเนี่ย มีรายการทรัพย์สินเนี่ยถูกต้องตามกฎหมาย แต่ละฉบับที่เกี่ยวข้องหรือไม่ ยังไม่ระบุ กฎหมายฉบับไหนนะ แต่มีแน่
The Publisher: เรื่องของแบรนด์เนมคุณทักษิณอ้างว่าตนซื้อให้?
คุณเรืองไกร: อันนั้นยืมเพื่อน ไม่ได้บอกว่าให้เพื่อนซื้อให้ เป็นการยืมใช้คงรูป แต่อันนี้ ขอบคุณที่บอกว่าพ่อซื้อให้ แต่พ่อซื้อให้เนี่ย พ่ออยู่ที่ไหนถึงซื้อให้ได้ ความเป็นนักการเมืองระดับผู้นำประเทศถ้ามีความไม่โปร่งใสมันก็จะมีปัญหา จริยธรรมก็มีประโยชน์ตรงนี้นะครับ รอดูข้อเขียนผมเขียนเสร็จเมื่อไหร่ มีจังหวะเมื่อไหร่ ค่อยถามผู้ถูกร้องอีกทีหนึ่งแล้วกัน
The Publisher: นายกรัฐมนตรียืนยันว่าการกู้ยืมในหมู่เครือญาติไม่ใช่นิติกรรมอำพราง แต่ทำถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง คุณเรืองไกรคิดอย่างไร?
คุณเรืองไกร: คนยื่นก็รับรองอย่างนั้นทุกคน ก่อนหน้านี้ต้องเตรียมตัวมีทีมงานเก็บรายละเอียด นายกเคพูด แต่เงินกู้มีอีกรายการหนึ่งยกตัวอย่างของคุณพี่ชายก็พานทองแท้ นี่ก็เขียนอยู่ในเอกสาร ปปช นั่นแหละ แต่ก็มีการให้คุณแพทองธาร ให้คุณพานทองแท้กู้ยืมด้วย ผมก็ยังสงสัยว่าทำไมไม่หักกลบลบแล้ว คือมีทั้งด้าน สินทรัพย์ อยู่รายการหนึ่ง ตัวเดียวเนี่ย ต่อมาก็เป็นรายการของ คู่สมรสที่เกี่ยวกับวินแคปปิตอลที่รอ ปปช ไป แต่รายการหนี้สิน ก็จะมีหนี้สินที่คุณพานทองแท้ปนอยู่ด้วยกัน ซึ่งก็ได้ทราบข้อมูล ในบางส่วนว่าเป็นการโอนหุ้นระหว่างพี่น้องนะครับ พอโอนเสร็จก็ตี ตีชำระด้วยตั๋วสัญญาใช้เงิน ตั๋วสัญญาใช้เงินคืออะไรตามกฎหมายแพ่ง ต้องทำอะไรอย่างงี้ อันนี้ผมรู้หมดเลยนะฮะ แต่ก็มีมุมที่น่าจะเป็นเป็นลักษณะทำให้มันเข้ากับรูปแบบของกฎหมาย แต่ก็มีช่องว่างให้ได้มันแค่มองเห็นอยู่ ไม่ถ้าเห็นข่าวอื่นก็เขียนถึงนะ แต่ว่าผมเห็นแล้วละ
The Publisher: อยากให้คุณเรืองไกรพูดถึงนายกรัฐมนตรี?
คุณเรืองไกร: มีข้อสงสัยและวิจารณ์เกี่ยวกับการทำงานของผู้ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยมองว่า อายุ 38 ปี กับประสบการณ์ในตำแหน่งนั้นไม่สอดคล้องกัน และการทำงานในช่วงที่ผ่านมามีปัญหา ไม่สามารถตอบคำถามสำคัญ เช่น เรื่องกฎหมายบริหารราชการแผ่นดินหรือการแยกกระทรวงได้ และไม่มีความสามารถในการตอบคำถามที่มีสาระเกี่ยวกับการบริหารราชการ รวมทั้งการใช้จ่ายงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้เห็นว่าไม่มีความคืบหน้าในการทำงาน และหากยังคงทำเช่นนี้ต่อไปจะทำให้ประเทศถอยหลังไปเรื่อย ๆ
The Publisher: เรื่องอะไรที่คิดว่านายกจะตอบไม่ได้จากเรื่องที่มีการไล่เรียงไปข้างต้น?
คุณเรืองไกร: อย่างการแถลงข่าวและการทำงานของนายกรัฐมนตรี เมื่อแถลงผลการประชุม ครม. ก็ไม่สามารถตอบคำถามที่เกี่ยวข้องได้อย่างชัดเจน และนโยบายที่นำเสนอในสภาก็ไม่มีความชัดเจนหรือไม่สามารถนำไปใช้ได้จริง การแถลงนโยบายก็ขาดความเข้าใจและการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม นอกจากนี้ยังกล่าวถึงการเปรียบเทียบการทำงานระหว่างนายกรัฐมนตรีในปัจจุบันกับนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ซึ่งแม้จะเจอปัญหาน้ำท่วมก็ยังสามารถบริหารแก้ไขได้ ซึ่งทำให้เห็นว่าเมื่อเทียบกับปัจจุบัน การบริหารยังไม่ค่อยมีประสิทธิภาพหรือความก้าวหน้าในการแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างแท้จริง