เมื่อรัฐสภากลายเป็นกระดานหมากรุกที่เต็มไปด้วยผู้เล่นซึ่งต่างมีหมากของตัวเอง การแก้ไขรัฐธรรมนูญรอบนี้จึงเป็นมากกว่าความพยายามเปลี่ยนแปลงกฎหมาย หากแต่เป็นการชิงไหวชิงพริบที่เดิมพันด้วยอำนาจและอนาคตทางการเมือง
แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ประชาชนกำลังตั้งคำถามว่า เกมนี้เล่นเพื่อใครกันแน่?
ภูมิใจไทยวอล์กเอาต์: หมากแรกของเกมอำนาจ
การที่พรรคภูมิใจไทยเลือก “วอล์กเอาต์” จากการลงมติในญัตติส่งศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ไม่ใช่แค่การตัดสินใจทางการเมืองทั่วไป แต่มันคือสัญญาณที่ส่งไปยังทุกฝ่ายว่า “เราจะไม่เดินเกมตามเพื่อไทย”
แต่คำถามคือ ภูมิใจไทยทำเพื่อใคร?
- หากเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของพรรค อาจหมายถึงว่าพวกเขาไม่ต้องการผูกตัวเองเข้ากับการแก้รัฐธรรมนูญที่อาจถูกโจมตีได้ในอนาคต
- หากเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อต่อรองทางการเมือง แสดงว่าพวกเขากำลังรอจังหวะที่ดีที่สุดเพื่อรักษาผลประโยชน์ของพรรคตนเอง
- แต่หากเป็นเพราะมีอำนาจอื่นบีบให้พวกเขาต้องถอย นั่นก็แปลว่ามีผู้เล่นเบื้องหลังที่คุมเกมใหญ่อยู่
ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นข้อใด สิ่งที่เห็นชัดคือการวอล์กเอาต์นี้ทำให้ กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญสะดุดลง และทำให้พรรคเพื่อไทยต้องสู้โดยลำพัง หรือแท้จริงแล้วพรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้อยากสู้จริง แต่ต้องการให้สถานการณ์ต่าง ๆ พาไปและกลายเป็นข้ออ้างว่า “พวกเขาทำดีที่สุดแล้ว” เพื่อตอบโจทย์แก้เกี้ยวกับถ้อยคำโจมตีว่า “เพื่อไทย” เดินเกมหลายหน้าไม่ต้องการผลักดันให้เกิดการแก้ไขรธน.อย่างจริงจัง ทั้งที่เคยหาเสียงคำโตไว้กับประชาชน
เพื่อไทยพ่ายกระบวนการรัฐสภา: ใครได้ ใครเสีย?
เพื่อไทยสร้างภาพให้เห็นว่า ได้พยายามผลักดันให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่า “สภามีอำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับหรือไม่” แต่พวกเขากลับพ่ายแพ้ในเกมตัวเลข เพราะเสียงสนับสนุนไม่พอ
นี่คือจุดที่ประชาชนเริ่มตั้งคำถามอย่างจริงจังว่า เพื่อไทยกำลังแก้รัฐธรรมนูญอย่างจริงจังจริงหรือ? และในแง่คำสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน คนที่เลือกพรรคเพื่อไทยไปเพราะสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คงต้องตั้งคำถามมากขึ้น แทนการเชื่อแบบไม่มีเงื่อนไข เพราะสุดท้ายการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ถูกหยิบยกมา ยังมีคำถามว่าเกิดขึ้นจากใจจริง หรือเพียงวาทกรรมสร้างความนิยมทางการเมือง หรือซับซ้อนกว่านั้นคือเป็นหนึ่งในหมากที่พวกเขาใช้ในการต่อรองผลประโยชน์ทางการเมืองกับฝ่ายอื่น?
ถึงแม้การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นสิ่งจำเป็นในสายตาของคนบางกลุ่ม แต่การที่เกมนี้ดำเนินไปด้วยความขัดแย้งในสภาทำให้ประชาชนเริ่มมองว่านี่อาจเป็นเพียง “เกมของนักการเมือง” มากกว่าความตั้งใจจริงที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจเพื่อประชาชน
เกมสุดท้าย: ล้มองค์ประชุม หยุดทุกอย่างไว้ที่เดิม
เมื่อเพื่อไทยแพ้ในการลงมติให้ส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญ พวกเขาตัดสินใจเดินเกมใหม่—“ล้มองค์ประชุม” โดยให้ ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลบางส่วนไม่เข้าประชุม ทำให้สภาไม่ครบองค์ประชุมและไม่สามารถเดินหน้าพิจารณาญัตติได้
เป็นหมากสุดท้ายที่นักการเมืองนิยมใช้กันเมื่อไม่สามารถเอาชนะในเกมตัวเลข ก็ใช้ตัวเลขล้มองค์ประชุม มันเป็นกลยุทธ์ที่ถูกต้องตามกติกา แต่คำถามคือ มันถูกต้องในสายตาประชาชนหรือไม่?
ประชาชนบางส่วนอาจเห็นว่านี่เป็นการตอกกลับอำนาจของ ส.ว. และพรรคที่คอยขัดขวางการแก้รัฐธรรมนูญ แต่ในขณะเดียวกัน อีกหลายคนมองว่า นี่คือ “เกมที่ไม่มีใครสนใจประชาชนจริง ๆ”
ใครเป็นผู้คุมเกมในสภา?
เมื่อมองย้อนกลับไป เกมแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า อำนาจที่แท้จริงในรัฐสภาไม่ได้อยู่ที่รัฐบาลเพียงอย่างเดียว แต่มันกระจายไปตามเครือข่ายอำนาจที่ซับซ้อน
• พรรคเพื่อไทย มีเสียงข้างมากในรัฐบาล แต่กลับต้องเผชิญกับแรงต้านมหาศาลจากพันธมิตรทางการเมืองของตัวเอง
• พรรคภูมิใจไทย แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นตัวแปรสำคัญที่สามารถหยุดหรือเร่งกระบวนการต่างๆ ได้
• ส.ว. ยังคงเป็นอำนาจเงาที่สามารถควบคุมทิศทางของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้โดยไม่ต้องผ่านการเลือกตั้ง
• ประชาชน กลายเป็นเพียงผู้ชมที่ต้องเฝ้ามองเกมการเมืองโดยไม่มีโอกาสเข้าไปเปลี่ยนแปลงอะไร เว้นแต่เรียนรู้จากปรากฏการณ์นี้เพื่อใช้อำนาจที่มีอีกครั้งในการเลือกตั้งคราวหน้า
ประชาชนควรเรียนรู้อะไรจากเกมนี้?
- รัฐธรรมนูญเป็นเกมของอำนาจ ไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมาย
ทุกการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญต้องผ่านกระบวนการต่อรองทางการเมือง ไม่มีพรรคไหนเสนอการแก้ไขเพียงเพราะมันเป็น “สิ่งที่ถูกต้อง” แต่ทุกอย่างถูกกำหนดโดยผลประโยชน์ของผู้เล่นในเกม - นักการเมืองไม่ได้เล่นเพื่อประชาชนเสมอไป
การล้มองค์ประชุม การวอล์กเอาต์ หรือการเล่นเกมตัวเลขในสภา เป็นเครื่องมือที่นักการเมืองใช้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง มากกว่าที่จะคิดถึงประชาชนจริง ๆ - การเมืองไทยยังติดอยู่ในวังวนเดิม
ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ทุกฝ่ายยังใช้ยุทธวิธีทางการเมืองแบบเดิมเพื่อรักษาอำนาจของตนเอง ทำให้การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเกิดขึ้นได้ยาก - ประชาชนต้องตั้งคำถามกับทุกฝ่าย
ไม่ใช่แค่ ส.ว. หรือพรรคที่ขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้นที่ควรถูกตั้งคำถาม แต่ พรรคที่ผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญเองก็ควรถูกตั้งคำถามเช่นกันว่า พวกเขาทำเพื่อวาระซ่อนเร้นในใจตัวเองหรือเพื่อประชาชนจริง ๆ?
มองไปข้างหน้า: อนาคตของรัฐธรรมนูญและเกมการเมืองไทย
เกมนี้ยังไม่จบ และอาจดำเนินต่อไปอีกนาน ตราบใดที่รัฐธรรมนูญยังคงเป็นเครื่องมือของฝ่ายที่ต้องการรักษาอำนาจ และเกมการเมืองในรัฐสภายังคงอยู่ในมือของนักการเมืองที่เล่นเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
สุดท้าย ประชาชนอาจต้องถามตัวเองว่า “เราจะปล่อยให้พวกเขาเล่นเกมนี้ต่อไปหรือไม่?” และถ้าไม่ เราจะเปลี่ยนเกมนี้ได้อย่างไร?