เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ รสนา โตสิตระกูล ประธานอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” โดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร
⸻
“สภาผู้บริโภคจะยื่นจดหมายถึงนายกรัฐมนตรี 6 ข้อเรียกร้องใหญ่ ขอให้หยุดโยนค่าไฟฟ้าแพงให้ประชาชน”
รสนา โตสิตระกูล ประธานอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค ระบุว่า ในวันที่ 28 เมษายนนี้ สภาฯ จะยื่นจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อเสนอ 6 ข้อเรียกร้องเร่งด่วน โดยประเด็นแรกคือ “การตัดค่าแอดเดอร์” ซึ่งเป็นภาระที่ผลักไว้ในค่าไฟฟ้าของประชาชนมานานนับสิบปี
“แอดเดอร์” คือค่าจูงใจที่รัฐเคยให้กับพลังงานหมุนเวียนหน่วยละ 8 บาท เริ่มมาตั้งแต่ปี 2550 และต่อสัญญาอัตโนมัติทุก 5 ปี กลายเป็นภาระถาวร ทั้งที่ต้นทุนพลังงานหมุนเวียนในปัจจุบันลดต่ำลงมากจนแข่งขันในตลาดได้แล้ว
หากตัดแอดเดอร์ได้ จะช่วยลดค่าไฟได้ 17 สตางค์ต่อหน่วย เทียบเป็นเม็ดเงินคือประชาชนจะประหยัดได้ถึง 34,000 ล้านบาทต่อปี แต่ กกพ. ยังเสนอราคาไฟฟ้าในงวด พ.ค.–ส.ค. 2568 ไว้ที่ 4.15 บาท/หน่วย เท่าเดิม ทั้งที่ ครม. มีมติให้กรอบอยู่ที่ 3.99 บาท/หน่วย เท่านั้น
⸻
ซื้อพลังงานหมุนเวียน “แพงเกินจริง” — ประชาชนต้องจ่ายแพงไปอีก 25 ปี
รสนาเผยว่า โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 5,200 เมกะวัตต์ที่เพิ่งลงนามเมื่อ 18 เม.ย. 68 ใช้ราคาอ้างอิงที่ 2.17 บาท/หน่วย ทั้งที่ราคาต้นทุนของประเทศอื่นต่ำกว่านี้มาก:
• เยอรมนี: 1.83 บาท/หน่วย
• อินเดีย บริษัท GPSC ของไทยเสนอที่ราคา : 1.09 บาท/หน่วย
• กฟผ. เคยเสนอ 1.50 บาท/หน่วย แต่ กกพ. ไม่อนุญาตให้แข่งขันกับเอกชน
“นี่คือการใช้ราคากลางแทนการประมูล ไม่ยุติธรรมกับประชาชนเลย เพราะไฟฟ้าที่กำลังจะเข้าระบบในปี 2569–2570 จะกลายเป็นภาระระยะยาวถึง 25 ปี ขณะที่ต้นทุนถูกลงเรื่อย ๆ ”
⸻
เรียกร้องปลดล็อกโซลาร์ประชาชน — “ให้ฝากไฟไว้ได้”
หนึ่งในข้อเสนอสำคัญของสภาฯ คือการปลดล็อกให้ประชาชนสามารถใช้ระบบ Net Metering และ Net Billing ได้อย่างเสรี โดยไม่มีข้อจำกัด
• Net Metering: เช่น ผลิต 100 หน่วย ใช้ 200 หน่วย ฝากไฟไว้ในระบบ จ่ายแค่ 100 ลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน
• Net Billing: ขายส่วนเกินกลับเข้าสู่ระบบได้โดยเฉพาะในโรงงาน
“มีผอ.การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคท่านหนึ่งเคยบอกว่า ยินดีรับซื้อไฟฟ้าบนหลังคาชาวบ้านถ้าเป็นนโยบายรัฐ เพราะจะช่วยลดไฟดับในพื้นที่ด้วย แต่วันนี้ รัฐบาลกลับซื้อไฟจากประชาชนเพียง 90 เมกะวัตต์ แต่ซื้อจากเอกชนถึง 5,200 เมกะวัตต์!”
⸻
“ค่าพร้อมจ่าย” คือไขมันส่วนเกินที่ต้องจัดการ
รสนาเสนอให้รัฐบาลเจรจากับโรงไฟฟ้า เพื่อลดหรือยกเลิก ค่าความพร้อมจ่าย ซึ่งเป็นต้นทุนแฝงที่สูงถึงหนึ่งในสามของราคาค่าไฟ
“วันนี้โรงไฟฟ้าเอกชน 7–8 แห่งไม่ได้เดินเครื่องเลย แต่เรายังต้องจ่ายค่าพร้อมจ่ายจากทั้งหมด 13 โรง มันไม่สมเหตุสมผลเลย”
⸻
เรื่องเก่าที่รัฐยังไม่เคลียร์: สัดส่วนการผลิตไฟของรัฐ vs เอกชน
แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะยกคำร้องเรื่อง กฟผ. ผลิตไฟฟ้าน้อยกว่าร้อยละ 51 แต่ก็ได้ให้ข้อเสนอแนะว่า รัฐบาลต้องกำหนดสัดส่วนการผลิตที่เหมาะสมระหว่างรัฐกับเอกชน เพื่อไม่ให้ต้นทุนค่าไฟเพิ่มขึ้นจากการพึ่งพาเอกชนมากเกินไป
“แทนที่รัฐบาลจะกำหนดสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าใหม่ กลับจะยกเลิกการสำรองไฟฟ้า เปลี่ยนมาเป็นดัชนีไม่ให้มีไฟดับ ซึ่งจะทำให้มีโรงไฟฟ้าเพิ่ม ทั้ง ๆ ที่มีไฟสำรองถึง 40-50% เกินกว่ามาตรฐานความมั่นคงที่ควรอยู่แค่ 10-15% เท่านั้น และหากจะเดินแนวทางนี้ก็ควรให้ประชาชนผลิตและขายไฟในพื้นที่ได้ ได้ทั้งสร้างรายได้ ป้องกันไฟดับ มีแต่ผลดี แต่รัฐบาลไม่เลือกทำ”
⸻
เรื่องสุดท้าย — ขอให้ปตท.เลิกใช้ราคาพิเศษในครอบครัวตัวเอง
สภาฯ ยังเรียกร้องให้มีการปรับระบบ การซื้อขายก๊าซจากอ่าวไทย โดยเสนอว่า ปตท. ควรซื้อก๊าซในราคาตลาดโลก และนำส่วนต่างไปชดเชยราคาก๊าซหุงต้มแทน
“ทุกวันนี้ ปตท. ขายให้โรงงานปิโตรเคมีในเครือตัวเองด้วยราคาถูกกว่าตลาดโลก เป็นการผูกขาดภายในกลุ่ม ต้องยุติ และนำก๊าซให้โรงไฟฟ้าใช้ก่อน ส่วนที่เหลือค่อยเข้าสู่ระบบรวม (Pool gas) เพื่อไม่ให้ราคาพุ่งจากการพึ่งพา LNG มากเกินไป”
⸻
“หยุดโรงไฟฟ้าใหม่ทุกชนิด รับซื้อไฟในราคาที่สมเหตุสมผล และส่งเสริมให้ประชาชนเป็นเจ้าของพลังงาน ถ้ารัฐบาลจริงใจจะแก้ค่าไฟ ต้องเริ่มที่โครงสร้างต้นทุนทั้งหมด ไม่ใช่แค่ยืดหนี้ กฟผ. เราเชื่อว่าการเปิดโอกาสให้ประชาชนติดโซลาร์จะเป็นทางออกที่ดีและยั่งยืนกว่าการผูกขาดไฟฟ้าไว้ในมือกลุ่มทุนเพียงไม่กี่ราย” เป็นบทสรุปที่ “รสนา” ทิ้งท้ายให้ทั้งรัฐบาลและสังคมช่วยกันขบคิด