บทสัมภาษณ์นี้เรียบเรียงจากรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร
⸻
มติแพทยสภา สะเทือนชั้น 14 ขยี้ ”ทักษิณ“
นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ นักกฎหมายชื่อดัง มองมติแพทยสภาที่ลงโทษแพทย์ 3 รายในกรณี “ชั้น 14” ว่า “ตรงกับความจริงและความรู้สึกของสังคม” พร้อมทั้งเชื่อว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไม่น่าจะกล้ายับยั้ง เพราะ “เสียงข้างมาก ๆ ๆ ๆ” ในที่ประชุมจะยืนยันมติกลับได้แน่นอน
คำแนะนำถึงแพทย์ผู้ถูกลงโทษ – “ให้สารภาพ อย่าสู้เลย”
เขาเตือนว่า การต่อสู้ของผู้เกี่ยวข้องมีโอกาสรอดน้อยมาก เพราะความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162 ซึ่งเป็นโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปีนั้น “เป็นโทษหนัก” และไม่สามารถรอการลงอาญาได้ง่าย “ดิ้นก็แค่เปลี่ยนที่นอน ไปอยู่ในคุกแทนทักษิณ” — นิพิฏฐ์กล่าวชัดเจน
แม้จะสามารถยื่นศาลปกครองเพื่อต่อสู้ในเชิงคำสั่งทางปกครองได้ แต่เขาเชื่อว่า “ก็ไม่ช่วยอะไร และโทษอาญาก็ยังรออยู่ดี”
มติแพทยสภากับน้ำหนักในศาลฎีกาฯ นักการเมือง
นิพิฏฐ์ระบุว่า มติดังกล่าวจะมีผลต่อการไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งจะเริ่มวันที่ 13 มิ.ย.นี้ โดยปัดข้อโต้แย้งเรื่องการลงโทษซ้ำ ว่า เป็นการแสดงความเห็นทางกฎหมายที่ไม่ฉลาด “กรณีทักษิณหากไม่เคยรับโทษจริง ก็ต้องนับโทษต่อ สำหรับผมเห็นว่าที่ป่วยจริงมีแค่สองวัน ที่เหลือต้องกลับไปติดให้ครบหนึ่งปี”
ศรัทธาที่หมดลง – ชี้ชัด “ผ่าตัดเพื่อสร้างพยานหลักฐาน”
แม้จะเชื่อว่าทักษิณผ่าตัดจริงตามคำสัมภาษณ์ของแพทองธาร ชินวัตร นายกฯ แต่นิพิฏฐ์มองว่า “เป็นการผ่าตัดเพื่อสร้างพยานหลักฐานว่าป่วย” และอาจกลายเป็นหลักฐานมัดว่า “ผ่าตัดได้ก็แปลว่าไม่ได้ป่วยวิกฤต”
ทางสองแพร่งของทักษิณ – “ติดคุก หรือ หนี”
นิพิฏฐ์เชื่อว่า จุดจบของทักษิณมีเพียง 2 ทางคือ “ติดคุก หรือ หนี” โดยหากคดี 112 มีโทษอีก 3 ปี บวกกับโทษเดิม 1 ปี รวมเป็น 4 ปี การหนีอาจเป็นทางเลือก “แต่ถ้าหนีก็ต้องหนีตลอดชีวิต” และทั้งหมดเราอาจได้เห็นภายในปีนี้
จากชั้น 14 สู่ความปั่นป่วนของกระบวนการยุติธรรม
เขาย้ำว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เฉพาะตัวทักษิณ แต่กระทบกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ “ตอนนี้คนที่มีอำนาจมากที่สุดไม่ใช่ศาล แต่กลายเป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์” ที่จะบังคับโทษอย่างไรก็ได้ และชวนคิดถึงการใช้กติกาคุมขังใหม่นอกเรือนจำที่เปิดทางให้โทษไม่ถึง 4 ปี “ไม่ต้องขังในเรือนจำจริง” ยิ่งตอกย้ำว่า ผู้กำหนดโทษกลายเป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์ไปแล้ว
ใครเอาทักษิณกลับมา – ความเงียบที่ไม่น่าเงียบ
“เมื่อทักษิณกลับมาแล้วไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว สังคมก็รับไม่ได้” นิพิฏฐ์กล่าว พร้อมชี้ถึงภาพความไม่เท่าเทียมของระบบ และตั้งคำถามถึงพรรคที่อ้างยืนหยัดเพื่อความเสมอภาคอย่าง “เพื่อไทย” และ “พรรคประชาชน” ว่า “ไม่มีใครต่อสู้เรื่องนี้เลย”
เขาย้อนภาพไปถึงวันแรกที่ทักษิณกลับไทย ว่า “ทำไมวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกฯ ถึงเข้าไปในเรือนจำฯ” และเชื่อว่าทั้งหมดคือ “กระบวนการสมคบคิดที่วางแผนมาตั้งแต่ต้น” หากมีการเชื่อมโยงให้เห็นทั้งบริบทอาจลากให้ นายกฯ มาร่วมรับผิดด้วยได้
หมอควรเป็นพยาน – ลากทั้งกระบวนการขึ้นเขียง
นิพิฏฐ์เสนอให้กันแพทย์ผู้ส่งตัวทักษิณไปโรงพยาบาลตำรวจไว้เป็นพยาน เพื่อสาวต่อถึง “ใครสั่งให้ทำ” และแม้ไม่หวังกับ ป.ป.ช. “แต่ก็อยากฝากให้ทำงานเสียบ้าง เพราะคนทำผิดไม่ใช่แค่หมอ”
ศาลฯ ไม่ให้เดินทาง – “สัญญาณรู้ตัว”
กรณีศาลฎีกาฯ ไม่อนุญาตให้ทักษิณเดินทางออกนอกประเทศ คือสัญญาณให้ทักษิณรู้ตัวว่า โอกาสหมดแล้ว โดยต่อไปอาจมีแค่ “ช่องทางธรรมชาติ” ให้ใช้ลักลอบหนี
ถ้าทักษิณจบ – รัฐบาลก็เปราะ
จากความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับรัฐบาลแพทองธาร หากทักษิณจบรัฐบาลก็อ่อนแรง คงไม่มีใครอยากสนับสนุนรัฐบาลที่มีปัญหาแบบนี้ ต้องถามว่าพรรครวมไทยสร้างชาติจะตัดสินใจอย่างไร ภายในปีนี้ต้องจับตาเพราะกระดานการเมืองอาจเปลี่ยนอีกครั้ง แต่ยังเชื่อไม่มีการยุบสภา โดยพรรคที่มีภาษีดีในขณะนี้กลายเป็นพรรคภูมิใจไทย แต่ก็ยังติดหล่มเรื่อง ฮั้วสว.อยู่
จับตาศึกใหญ่ปีนี้ – เกมไม่จบแค่ทักษิณ
นิพิฏฐ์ประเมินว่า ปีนี้คือปีหัวเลี้ยวหัวต่อ หากคดี ส.ว. 138 คน เข้าสู่กระบวนการจนต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ จะเกิดสุญญากาศการเลือกทำหน้าที่เพราะเหลือสว.ไม่ถึงครึ่ง การเลือกกรรมการองค์กรอิสระก็จะชะงักไปด้วย “ศึกนี้ไม่มีใครยอมถอยเข้ามุมแน่ แต่เพื่อไทยกำลังเพลี่ยงพล้ำ”
เขาทิ้งท้ายว่า “คดีไม่มีเสมอตัว มีแค่แพ้กับชนะ” — และถ้าทักษิณแพ้ รัฐบาลก็ไม่พ้นซวนเซตามไปด้วย
⸻