นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค ให้สัมภาษณ์กับ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ถึงปัญหาโครงสร้างค่าไฟที่ยังมีไขมันอยู่หลายจุดส่งผลให้คนไทยต้องจ่ายค่าไฟแพง โดยเห็นว่ามติคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. จะเสนอยกเลิกจ่ายค่า Adder-Fit ซึ่งจะทำให้ลดค่าไฟฟ้าไปได้ 17 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าที่ปัจจุบันอยู่ที่ 4.15 บาทต่อหน่วย จะลดลงเหลือ 3.98 บาทต่อหน่วยนั้นยังไม่เพียงพอ เพราะสามารถที่จะรีดไขมันส่วนอื่นได้อีก เช่น ค่าความพร้อมจ่าย ซึ่งในรอบสี่เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ 1.9 หมื่นล้านบาทบวกกับโรงไฟฟ้าที่ซื้อจากลาวอยู่ที่ 5,300 ล้านบาท ถ้าลดลงมาได้ครึ่งหนึ่งจะทำให้ลดค่าไฟฟ้าได้ 17-20 สตางค์ต่อหน่วย
“การปรับโครงสร้างราคาใหม่ ยกเลิก Adder และค่าความพร้อมจ่ายจะลดค่าไฟฟ้าได้ สภาองค์กรของผู้บริโภคเคยเสนอรัฐบาลไปแล้ว แต่ยังไม่มีการดำเนินการ เมื่อนายกฯ มีนโยบายลดค่าไฟฟ้าก็ควรประกาศนโยบายเลยว่าต้องการคุมราคาค่าไฟฟ้าอยู่ที่เท่าไหร่ เช่น 3.70 บาทต่อหน่วยตามที่พ่อนายกฯ พูด เมื่อกำหนดแล้วรัฐบาลจะสามารถใช้หลักนำนโยบายนี้ไปต่อรองเพื่อขอลดค่าความพร้อมจ่ายหรือยกเลิกกับเอกชน เนื่องจากตามสัญญามีการระบุถึงเหตุสุดวิสัยที่ไม่สามารถนำไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียได้ หนึ่งในนั้นมีเรื่องนโยบายรัฐรวมอยู่ด้วย หากต้องการลดค่าไฟจริงก็ประกาศเป็นนโยบายออกมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องไปดำเนินการ ไม่ต้องกลัวเรื่องค่าโง่ สามารถเปิดฉากเจรจาจัดการเรื่องค่าพร้อมจ่าย หรือแม้แต่ค่าพลังงานไฟฟ้าหรือซีพีที่มีค่าใช้จ่ายหมื่นกว่าล้านบาทด้วย จะทำให้กลัดกระดุมเม็ดแรกได้ถูกต้อง แต่ถ้านายกฯ ไม่ประกาศนโยบายที่ชัดเจนก็จะเป็นการหลอกประชาชนไป เพราะไม่สามารถดำเนินการได้”
สำหรับองค์ประกอบค่าไฟฟ้างวด ม.ค.-เม.ย.68 มีการประมาณยอดการใช้ 7 หมื่นล้านหน่วย มีค่าซื้อไฟฟ้าในประเทศกว่า 1.2 แสนล้านบาท ค่าเชื้อเพลิงกว่า 3.2 หมื่นล้านบาท ค่าใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐบาลอีก 1 หมื่นล้านบาท และกองทุนพัฒนาพลังงานอีกกว่า 300 ล้านบาท รวมเป็นค่าใช้จ่ายราว 2 แสนล้านบาท ซึ่งจะถูกคำนวณอยู่ในค่า FT หากรีดไขมันออกได้ ทั้ง Adder-Fit ที่ต้องจ่ายให้โรงไฟฟ้าขนาดเล็กและขนาดเล็กมาก รวมถึงค่าความพร้อมจ่ายกับโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ จะทำให้ค่าไฟฟ้าลดลงไปอยู่ที่ 3.70 บาทต่อหน่วยได้อย่างแน่นอน
“เรามีไขมันพอกอยู่รอบเอวเลย เมื่อก่อนเรามองว่า กฟผ.เป็นเสือนอนกิน แต่ตอนนี้เห็นภาพชัดว่าค่าพร้อมจ่ายทำให้โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่กลายเป็นเสือนอนกิน เอ่ยชื่อมาก็รู้จักกันทั้งประเทศ กองอยู่ในระบบกับการได้ผลประโยชน์ในระบบ เชื่อว่านายทักษิณ ชินวัตร คงได้ข้อมูลตรงส่วนนี้ว่าจัดการได้ แต่อาจมีคนไปเสนอว่าให้ไปรีดไขมันกับกฟน.และกฟภ. แสดงว่าคนเสนอต้องอยู่กับโรงไฟฟ้าใดโรงไฟฟ้าหนึ่ง ไม่อยากให้ไปแตะผลประโยชน์ส่วนนี้ เลยผลักให้ไปรีดกับ กฟน.และกฟภ.แทน ทั้งที่ส่วนนี้จะคำนวณรวมอยู่ในค่าไฟฐานอยู่แล้ว เป็นการเบี่ยงเบนประเด็นเพราะไม่อยากให้แตะค่าความพร้อมจ่าย ที่มีผลประโยชน์แค่สี่เดือนไม่น้อยกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท”
รองเลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค ให้ข้อมูลด้วยว่า ในปัจจุบันรัฐมีการสำรองไฟฟ้าเกินความจำเป็นอยู่ที่ 25 % ทั้งที่หลักสากลจะสำรองอยู่ที่ 15 % เท่านั้น การสำรองไฟฟ้าเกินจำเป็นทำให้เป็นภาระต่อประชาชน ซึ่งมีคนไปร้องศาลรัฐธรรมนูญจนมีคำสั่งออกมาว่า ต้องไปดูปริมาณการสำรองไฟฟ้า และสัดส่วนการผลิตของกฟผ. หลังจากนั้นหนึ่งเดือนมีการออกมติยกเลิกการคำนวณฐานการสำรองปริมาณไฟฟ้า และไปใช้หลัก Lole หรือหลักดัชนีไฟฟ้าดับแทน เป็นการกล้าสวนท้าทายคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญชัดเจน และน่าจะขัดกับกฎหมายของ กกพ.เองด้วย ทั้งหมดเกิดในสมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เรื่องพวกนี้สภาองค์กรของผู้บริโภคคิดว่าต้องมีการดำเนินการทางกฎหมายต่อไป จะเห็นได้ว่ามีคนรุ่นก่อนทิ้งภาระไว้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อพลังงานหมุนเวียนในราคาแพง และการยกเลิกการใช้เกณฑ์คำนวณฐานสำรองปริมาณไฟฟ้า ที่มีการสำรองเกินจำเป็นแล้วไปใช้ดัชนีไฟฟ้าดับ เพื่อเกิดเงื่อนไขใส่โรงไฟฟ้าเข้าไปในระบบเท่าไหร่ก็ได้ อ้างเรื่องป้องกันไฟดับ แต่คนแบกภาระคือประชาชน
“การที่นายทักษิณมาจับประเด็นค่าไฟฟ้า ก็อาจเรียกได้ว่าเป็นบทเรียนสำหรับพรรคการเมืองที่กำลังเดินหน้าทำเรื่องนี้ว่า เมื่อช้าก็จะถูกคนอื่นมาฉกฉวยไปเพื่อประโยชน์ทางการเมือง พรรคการเมืองจึงควรฟังเสียงประชาชนและตอบสนองให้ไวกว่านี้ ไม่อย่างนั้นจะเกิดการฉกชิงทางการเมืองขึ้นได้ ส่วนประชาชนต้องจับตาต่อให้มีการลดโรงไฟฟ้าในระบบ ไม่ให้มีปริมาณไฟฟ้าล้นเกิน ถ้าจะมีโรงไฟฟ้าใหม่ต้องมีการประมูลแข่งขัน”