เจ้าอาวาสวัดไร่ขิงเคยเป็นที่เคารพในสายตาชาวพุทธจำนวนมาก ทั้งในฐานะผู้นำสงฆ์ระดับสูง และผู้ดูแลวัดที่มีชื่อเสียงในภาคกลางของประเทศ
แต่ข่าวล่าสุดที่เขาถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินวัดกว่า 300 ล้านบาท เพื่อนำไปเล่นพนันบาคาร่าออนไลน์ กลับกลายเป็นปรากฏการณ์ที่สะเทือนศรัทธาทั้งประเทศ และเปิดโปงสิ่งที่ซ่อนอยู่ในระบบสงฆ์ไทยมายาวนาน:ความศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือการตรวจสอบ
เงินวัด…คือของส่วนรวม หรือทรัพย์ส่วนตัว?
เมื่อพระรับเงินบริจาคจากญาติโยม คำถามคือ เงินนั้นกลายเป็นของวัด หรือกลายเป็นของพระ?
ในทางกฎหมาย เงินบริจาคที่ถวายให้วัดถือเป็นทรัพย์สินของวัด ไม่ใช่ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่ในทางปฏิบัติ เจ้าอาวาสจำนวนไม่น้อยกลับมีอำนาจเด็ดขาดในการถือครอง บริหาร และโอนเงินในบัญชีวัด โดยไม่มีระบบตรวจสอบจากภายนอก
ในกรณีวัดไร่ขิง มีการเปิดเผยเส้นทางเงินที่น่าตกใจ:
บัญชีวัด →บัญชีเจ้าอาวาส→บัญชีหญิงสาว→เว็บพนันออนไลน์
ในประเทศที่รัฐเข้าควบคุมร้านเหล้าและการใช้คำหยาบบนทีวีอย่างเข้มงวด คำถามจึงย้อนกลับมาว่า“เหตุใดวัดจึงเป็นพื้นที่ปลอดตรวจสอบ?”
อำนาจในจีวร กับระบบที่เปิดช่องให้ทุนสีเทาแทรกซึม
วัดไม่เพียงเป็นพื้นที่ศรัทธา แต่ยังเป็นจุดรวมของทรัพย์สินจำนวนมหาศาล—ทั้งที่ดิน บริจาค งานบุญ และแรงงานจากศรัทธาประชาชน
พระผู้ใหญ่บางรูปจึงไม่ต่างจากนักบริหารองค์กรขนาดใหญ่ โดยไม่ต้องเสียภาษี ไม่มีบอร์ดบริหาร และแทบไม่มีการตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระใด ๆ
เมื่ออำนาจ ศรัทธา และทรัพย์สิน มารวมอยู่ในบุคคลเดียว โดยไม่มีการถ่วงดุล—การล้มละลายของศีลธรรมจึงเป็นแค่เรื่องของเวลา
กรณีของวัดไร่ขิงยังสะท้อนความเชื่อมโยงระหว่างพระสงฆ์กับเครือข่ายธุรกิจสีเทา โดยเฉพาะ “เว็บพนันออนไลน์” ซึ่งเป็นปัญหาหนักของไทยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
วัดไม่ควรเป็นพื้นที่พิเศษที่อยู่เหนือรัฐ
แม้จะเข้าใจดีว่าศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนในสังคมไทย แต่คำว่า “ละเอียดอ่อน” ไม่ควรถูกใช้เป็นข้ออ้างในการหลบเลี่ยงความรับผิดชอบ
เงินจากศรัทธาต้องโปร่งใส
ศาสนาต้องยืนอยู่บนระบบที่ตรวจสอบได้
และพระต้องยอมรับว่า ศีล 227 ข้อ ไม่เพียงพอในโลกที่เงินหมุนเร็วกว่าธรรมะ
หากเรายังปล่อยให้วัดบริหารจัดการเงินโดยไม่ต้องแสดงบัญชีหากเรายังให้เจ้าอาวาสถือบัญชีวัดเพียงคนเดียวหากเรายังมองว่าพระ “อยู่เหนือ” การตั้งคำถาม
วันหนึ่ง เราอาจไม่ได้สูญเสียแค่เงินวัด 300 ล้าน
แต่สูญเสีย “ความศรัทธา” ไปโดยถาวร
ทางออกไม่ใช่การไล่ล่าพระทุกรูป แต่คือการสร้างระบบตรวจสอบร่วมกัน
เราต้องแยกให้ออกว่า “พระสงฆ์” และ “ระบบวัด” ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
ศาสนายังคงมีคุณค่าต่อจิตใจของผู้คน
แต่ระบบวัดต้องมีการถ่วงดุล ตรวจสอบ และเปิดเผยอย่างโปร่งใส เช่นเดียวกับหน่วยงานของรัฐ
เจ้าอาวาสไม่ใช่ผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่แตะต้องไม่ได้
และเงินวัดไม่ใช่ทรัพย์ส่วนตัวของใคร
การรักษาพุทธศาสนาให้เข้มแข็งต่อไปได้ จึงไม่ใช่การปกป้องพระผู้กระทำผิด
แต่คือการปกป้อง “ระบบศรัทธา” ไม่ให้ถูกแปรรูปเป็นเครื่องมือของใครอีก
เพราะเมื่อศรัทธาถูกใช้ผิดทาง…มันจะพังได้เร็วกว่าที่ใครคาดคิด