คำว่า “ทุจริตเชิงนโยบาย” เป็นที่รู้จักในยุคนายทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเต็มไปด้วยข้อครหาออกนโยบายเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองและครอบครัว จนกลายเป็นคดีที่ศาลฎีกาฯ พิพากษามีความผิดติดคุกไปหลายคดี รวมถึงยึดทรัพย์ด้วย
ตัวละครที่เกี่ยวพันกับการร่วมด้วยช่วยเหลือ “รับใช้นาย” กลับมาวนเวียนเกี่ยวพันกับการบริหารในยุคลูกสาว แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกฯ ด้วย โดยเฉพาะคดีเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทชินคอร์ปฯ ซึ่งน.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรมว.ไอซีที ถูกพิพากษาติดคุก 1 ปี ไม่รอลงอาญา พ้นคุกออกมายังโลดแล่นในแวดวงการเมือง ล่าสุดได้รับการแต่งตั้งจากนางสาวแพทองธาร ให้เป็นที่ปรึกษานโยบายของนายกฯ และเป็นประธานบอร์ดพัฒนาซอฟพาวเวอร์แห่งชาติ และกลายเป็นประเด็นที่ทำให้นางสาวแพทองธาร ถูกร้องว่า อาจเข้าข่ายผิดจริยธรรมร้ายแรง หลังตั้งคนเคยติดคุกมาช่วยงานบริหารบ้านเมือง
ตัวละครสำคัญที่เกี่ยวพันกับการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทชินคอร์ปฯ ในยุคทักษิณ คือ นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดบอร์ดองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย หรือ ทศท. ที่ต้องร่วมชดใช้เงินกว่า 66,060 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำพิพากษาศาลฎีกาจากคดีแก้ไขสัมปทาน เพื่อลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (Prepaid Card) ให้เอไอเอส ซึ่งขณะนั้นเป็นของนายทักษิณ โดยมิชอบ
ชื่อ “สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์” ยังพัวพันกับคดีที่นพ.สุรพงษ์ สมัยเป็นรมว.คลัง ถูกตัดสินจำคุกหนึ่งปีแต่รอลงอาญา จากกรณีตั้งบอร์ดแบงก์ชาติโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยมีการตั้งกรรมการคัดเลือกสามรายที่มีปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน หนึ่งในนั้นคือ “สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์” ซึ่งขณะนั้นเป็นกรรมการบริหารธนาคารทหารไทย ซึ่งศาลฯ เห็นว่าธนาคารดังกล่าวอยู่ภายใต้การกำกับของ ธปท. ขณะที่กรรมการ ธปท.มีบทบาทสำคัญดูแลเสถียรภาพด้านการเงินของประเทศ การแต่งตั้งครั้งนั้นจึงขัด พ.ร.บ. ธนาคารแห่งประเทศไทย มาตรา 28/1 วรรคสาม และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2551 มาตรา 9 ถือว่าทั้ง 3 ราย เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการคัดเลือก จึงพิพากษาว่า นพ.สุรพงษ์ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ให้จำคุก 1 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท แต่โทษจำคุกรอลงอาญา 1 ปี
ในวังวนคนรับใช้ หรือคนที่ถูกเลือกมาใช้งานดูเหมือนจะอยู่ในอ่างแคบ ๆ วกกลับมาหาคนเดิมอีกครั้งในบทบาทแบบเดิม รัฐบาลแพทองธาร โดยรมว.คลัง ตั้ง สถิตย์ เป็นคณะกรรมการคัดเลือกประธทานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในบอร์ดแบงก์ชาติ รั้งตำแหน่งประธานฯ ชุดนี้ด้วย ท่ามกลางความพยายามผลักดันคนจากฝ่ายการเมืองคือ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ไปเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ
ประวัติความเป็นมาแบบนี้ การคัดเลือกประธานบอร์ดแบงก์ชาติ จึงถูกจับตาจากหลายฝ่ายเรื่องความโปร่งใสในการปฏิบัติหน้าที่ การเลือกประธานบอร์ดแบงก์ชาติที่จะมีขึ้นในวันที่ 4 พ.ย. จะจบแบบไหนต้องรอดู เพราะ “กิตติรัตน์” ยังมีคดีระบายข้าวในยุคยิ่งลักษณ์ ที่ป.ป.ช. ให้ อสส. ยื่นอุทธรณ์คดีต่อ
คนที่การเมืองอยากผลักดันยังไม่พ้นมลทิน คนที่มีอำนาจคัดเลือกเกี่ยวพันกับการทุจริตเชิงนโยบายตั้งแต่รุ่นพ่อ มาถึงรุ่นลูก ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่มีการส่งต่อมรดกบาปที่จะทำให้ประเทศชาติเสียหายอีก