นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ นักกฎหมาย กล่าวถึงกรณีที่มีการระบุตัวเลขจ่ายชดเชยกรณีคืนที่สนามกอล์ฟอัลไพน์ไปเป็นที่ธรณีสงฆ์อาจสูงถึง 7.7 พันล้านบาท กับ The Publisher ว่า ปกติจะไม่ชดเชยในราคาปัจจุบัน แต่จะย้อนกลับไปสู่สถานภาพเดิมคือตอนที่ซื้อมาในราคาเท่าไหร่ ไม่ใช่จะได้ตามวาดหวังไว้ว่าจะได้หลายพันล้านบาท เป็นวิธีคิดของนายทักษิณ ชินวัตร ที่มักคิดถึงกำไรไปเรื่อย สมมติซื้อมา 500 ล้านบาท แล้วถูกเพิกถอนจะได้รับคืน 500 ล้านบาท ก็ไม่น่าจะถึงด้วยซ้ำ เพราะต้องดูความประมาทของเขาด้วยว่า ตอนที่ซื้อมีความประมาทหรือไม่ ใช้ความระแวดระวังเหมือนวิญญูชนพึงปฏิบัติหรือไม่
“ผมคิดว่าผู้ซื้อเองคือคุณทักษิณและครอบครัวมีความประมาทในการซื้ออยู่ด้วย เพราะตอนนั้นก็เริ่มมีการเตือนกันแล้วว่า ที่ดังกล่าวมีความผิดปกติ ผมยืนยัน 100 % ว่านายทักษิณฝันกลางวันที่จะได้รับการชดเชยในราคาที่ดินปัจจุบัน ส่วนผู้ที่ซื้อโดยสุจริตจริงคือคนที่ไปซื้อจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ คนเหล่านี้ต้องไปฟ้องร้องเรียกค่าชดเชยจากนายทักษิณที่เป็นเจ้าของ ไม่ใช่เรียกร้องจากรัฐ เนื่องจากรัฐไม่ใช่คู่กรณี ส่วนนายทักษิณ ก็ไปไล่เบี้ยฟ้องกรมที่ดิน แต่เชื่อเถอะว่าไม่ได้ราคาปัจจุบันตามที่คิดไว้”
นายนิพิฏฐ์ ยังยกตัวอย่างว่าเคยทำคดีที่ดินเกาะในจังหวัดหนึ่ง ที่เจ้าของซื้อมาและครอบครองนานเกือบ 60 ปี จนกระทั่งต่อมามีคนร้องว่าที่ดินนี้ออกโฉนดโดยไม่ชอบ ก็ถูกเพิกถอนไป ทำให้สูญเสียเกาะทั้งเกาะซึ่งราคาท้องตลาดราว 5-6 พันล้าน เขาก็ฟ้องกรมที่ดินที่เป็นผู้ออกโฉนด แต่ได้ชดเชยจริงในราคาเดิมที่ซื้อไปคือกว่า 10 ล้านบาท
“กรณีนี้เปรียบเทียบได้กับกรณีอัลไพน์ของนายทักษิณ อย่าไปฝันหวานว่าจะค้าที่ดินวัดอีก ผมเตือนไว้ก่อน ถ้าจะเอาที่ดินวัดมาทำกำไร ระวังจะมีคนติดคุกภาค 2 อย่าไปคิดอย่างนั้นเลย กรมที่ดินระวังถ้าไปใช้ในตัวเลข 7.7 พันล้านบาท โดนแน่ ไม่มีใครเขาทำ เรื่องนี้คงต้องขึ้นศาลปกครองอีก เว้นแต่อธิบดีกรมที่ดินกินดีหมีสั่งจ่ายเงินเลย ซึ่งก็ต้องเข้าสภาฯ ต้องถามว่าสภาฯ จะยอมหรือไม่ แต่ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันเพราะสภาฯ ยุคนี้ก็ไม่ได้คัดค้านกันจริงจัง เพราะรอร่วมรัฐบาลกันทั้งนั้น”
ส่วนการคืนที่ธรณีสงฆ์แล้วจะส่งผลต่อการพิจารณาของ ป.ป.ช. ปมน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ถูกร้องผิดจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่นั้น นายนิพิฏฐ์ มองว่า ไม่น่าจะเกี่ยวกัน เพราะการครอบครองที่ดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเกิดขึ้นสำเร็จไปตั้งแต่รับรู้คำพิพากษาศาลฎีกาว่าเป็นที่ธรณีสงฆ์แล้ว ต้องหาวิธีคืนที่กลับไป แต่หลังจากนั้นยังมีการพัฒนาที่ดินต่อเนื่อง เพราะคิดว่าไม่มีใครทำอะไรได้ ภาษาบ้านตนเรียกว่า ใครครอบครองที่ดินวัด กลากจะขึ้นหัว เพราะมันเป็นบาป แต่คนบางคนไม่เชื่อเรื่องบุญ เรื่องบาป เพราะอยู่เหนือบุญเหนือบาป
“จริยธรรมใช้ได้กับบางคน เพราะบางคนไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่เมื่อศาลฯ ตัดสินแล้ว ถามว่าใครจะกล้าครอบครอง ต้องระดมนักกฎหมายเพื่อทำให้ถูกต้องบอกเลิกนิติกรรมให้กลับไปสู่สถานภาพเดิม ดังนั้นคดีที่ ป.ป.ช.ผมคิดว่าเดินหน้าต่อ เหมือนกรณีการครอบครองที่ สปก. ก็น่าจะผิดนะ เหมือนกับเขากระโดงนั่นแหละ เพราะเป็นที่ รฟท. ไม่คิดวิธีคืนกันเลย คิดแต่วิธีจะครอบครองต่อกันทั้งนั้น มันก็แปลกที่ไม่มีใครทำอะไรได้ ทั้งที่ศาลฎีกาตัดสินไปแล้ว กลายเป็นว่าอยู่เหนือศาลกันไปหมด บ้านเมืองเป็นแบบนี้”