ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ “สังคมสีดอกเลา” หรือสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว โดยมีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า ในปี 2537 มีผู้สูงอายุร้อยละ 6.8 และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 20.0 ในปี 2567 นั่นหมายถึงว่า อัตราส่วนพึ่งพิงวัยสูงอายุจะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวด้วย โดยพบว่าประชากรวัยทำงาน 100 คน รับผิดชอบในการดูแลผู้สูงอายุประมาณ 31 คนหรือคิดเป็นอัตราส่วน 3:1
ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีรายได้หลักจากบุตรร้อยละ 35.7 รองลงมามีรายได้จากการทำงานร้อยละ 33.9 ตามมาด้วยเบี้ยยังชีพร้อยละ 13.33 เงินบำเหน็จหรือบำนาญร้อยละ 6.8 คู่สมรส ร้อยละ 5.6 และจากดอกเบี้ยเงินออมหรือการขายทรัพย์สินมีเพียงแค่ร้อยละ 1.6 เท่านั้น
การเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ โดยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมดนำมาซึ่งความท้าทายหลากหลายด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพ
หนึ่งในประเทศที่เผชิญกับปัญหานี้ก่อนไทย คือ ญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีประชากรสูงอายุมากที่สุดในโลก การศึกษาบทเรียนจากญี่ปุ่น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ไทยเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัญหาสังคมสูงวัยที่ไทยต้องเตรียมรับมือ
- แรงงานลดลง ผลผลิตตกต่ำ: เมื่อประชากรวัยทำงานลดลง ส่งผลต่อภาคการผลิตและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
- ภาระค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคม: รัฐบาลต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านบำนาญ การรักษาพยาบาล และสวัสดิการต่างๆ ของผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น
- ปัญหาสุขภาพ: ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักมีโรคประจำตัว ต้องการการดูแลรักษาทางการแพทย์
- ความเหลื่อมล้ำ: ผู้สูงอายุบางกลุ่ม โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย อาจเข้าไม่ถึงบริการสาธารณสุข และสวัสดิการต่างๆ
- ปัญหาครอบครัว: โครงสร้างครอบครัวเปลี่ยนแปลง ไปสู่ครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น ทำให้ผู้สูงอายุขาดคนดูแล
บทเรียนจากญี่ปุ่น
- การส่งเสริมการมีงานทำของผู้สูงอายุ: ญี่ปุ่นส่งเสริมให้ผู้สูงอายุยังคงทำงานต่อไป แม้จะเกษียณอายุแล้ว เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และสร้างรายได้ให้ผู้สูงอายุ
- การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อผู้สูงอายุ: ญี่ปุ่นพัฒนาหุ่นยนต์ และเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุในชีวิตประจำวัน และลดภาระการดูแล
- การสร้างชุมชนที่เอื้อต่อผู้สูงอายุ: ญี่ปุ่นออกแบบเมือง และที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุ เช่น มีทางลาด ราวจับ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
- การส่งเสริมการออมเพื่อการเกษียณ: ญี่ปุ่นส่งเสริมให้ประชาชนออมเงินตั้งแต่วัยทำงาน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเกษียณอายุ
สิ่งที่ไทยควรเรียนรู้และนำมาปรับใช้
- ส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุ: ปรับทัศนคติของสังคม และภาคธุรกิจ ให้เห็นคุณค่าของแรงงานสูงวัย สนับสนุนการฝึกอบรม และพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุ
- พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม: นำเทคโนโลยีมาช่วยดูแลผู้สูงอายุ เช่น ระบบติดตามตัว อุปกรณ์ช่วยเดิน และแอปพลิเคชันต่างๆ
- สร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อผู้สูงอายุ: ปรับปรุงระบบขนส่งสาธารณะ สถานที่สาธารณะ และที่อยู่อาศัย ให้สะดวก และปลอดภัยสำหรับผู้สูงอายุ
- ส่งเสริมการออม: ปลูกฝังนิสัยการออม และให้ความรู้ด้านการวางแผนการเงิน เพื่อรองรับวัยเกษียณ
- สร้างระบบดูแลระยะยาว: พัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว ทั้งในรูปแบบสถานพยาบาล และการดูแลที่บ้าน
การเตรียมความพร้อมรับมือสังคมสูงวัย เป็นภารกิจสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน โดยเรียนรู้จากประสบการณ์ของประเทศอื่น ๆ และปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย เพื่อสร้างสังคมที่ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี และเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป
ที่สำคัญคือทำอย่างไรไม่ให้ประเทศไทยต้องตกอยู่ในสภาพ ผู้สูงวัยจำนวนมากต้อง “ตายอย่างโดดเดี่ยว” เหมือนญี่ปุ่นที่มีข้อมูลว่า ประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปประมาณ 68,000 คน เสียชีวิตลำพังที่บ้านโดยไม่มีใครสังเกตเห็น เพราะนั่นเป็นเรื่อง “น่าเศร้า” มาก
.
ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #สังคมสีดอกเลา #สังคมผู้สูงอายุ #ผู้สูงอายุ
ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
https://thepublisherth.com/