นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์หลังนายทักษิณ ชินวัตร ปราศรัยหาเสียงนายก อบจ. เชียงใหม่ พาดพิงคนที่เคลื่อนไหวต่อต้านว่าเป็นพวกไม่มีอาชีพ แต่มีที่ดินริมทะเล รวมถึงลำเลิกบุญคุณในทำนองเคยเลี้ยงข้าว โดยบอกเรื่องที่ดินริมทะเลไม่ใช่ตนเองแน่นอน ส่วนคนไม่มีอาชีพก็ยังดีกว่าคนมีอาชีพโกงกินบ้านเมือง การที่นายทักษิณแสดงอารมณ์กราดเกรี้ยว เป็นอาการของคนมีความอึดอัดคับแน่นอก จึงตอบโต้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ต้องการแก้แค้น ดังนั้น การอ้างกลับไทยมาเลี้ยงหลานจึงสวนทางกับพฤติกรรม
นายจตุพรบอกถ้าทักษิณมาเลี้ยงหลานตามการขออนุญาตกลับบ้าน และรับโทษตามกระบวนการยุติธรรม แล้วใช้ชีวิตอย่างปกติสุข คงไม่มีเหตุผลที่วิจารณ์ทักษิณ แต่พฤติกรรมกลับไม่ใช่ ซ้ำยังพาบ้านเมืองลามไปสู่ปัญหาต่างๆ ทั้ง MOU 44 การแบ่งผลประโยชน์กับกัมพูชา รวมถึงยังสับสนในสถานะตัวเอง เช่นเรื่องเสนอใช้กำลังทลายแก๊งคอลเซนเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งที่ต้องเป็นนายกฯ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร เหมาะสมกว่า ทั้งที่ตัวเองเป็นบุคคลต้องห้ามทางการเมืองและถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต
นายจตุพร มองว่าการแสดงท่าทีของนายทักษิณเช่นนี้สะท้อนถึงความไม่มั่นใจในสถานะตัวเอง เช่นล้มแผนการไปเกาะลังกาวี หรือ กรณีความจริงบนชั้น 14 ซึ่ง ป.ป.ช.และแพทยสภาอยู่ระหว่างการตรวจสอบ รวมทั้งกรณีของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง มีคุณสมบัติต้องห้ามเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ทำให้ทักษิณมีความกังวลภายใต้เวลาจำกัด หากคิดจะมีการเปลี่ยนผลให้เป็นคุณต่อตัวนายทักษิณเอง ซึ่งคงไม่ใช่จะทำกันได้ง่าย ๆ
นายจตุพร เชื่อว่าต้นปี 68 จะมีหลากหลายปัญหาที่ทักษิณและรัฐบาลเพื่อไทยหวั่นไหวจนเกิดความไม่มั่นใจ โดยเฉพาะเรื่องบ่อนคาสิโนต้องผ่านมติ ครม.และออกเป็นกฎหมาย ทั้งการตั้งคณะกรรมการ เจทีซี ไปเจรจา MOU 44 เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มกับกัมพูชา และอีกหลายๆ นโยบาย ดังนั้น ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ล้วนทำให้ทักษิณกับพรรคเพื่อไทยเกิดหวั่นไหวในความไม่มั่นใจทั้งสิ้น