Special ส่งท้ายปี เปิดมุมคิด “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” มองทิศทางการเมือง-เศรษฐกิจ ปี 68
The Publisher: คุณอภิสิทธิ์มีมุมมองเกี่ยวกับการเมืองและเศรษฐกิจอย่างไรในปี 2568 ?
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ: การวิเคราะห์เศรษฐกิจไทยในบริบทปัจจุบันเริ่มจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เน้นการขึ้นภาษีสินค้าผ่านการใช้ภาษีเป็นอาวุธเศรษฐกิจ ซึ่งอาจกระทบกับไทยที่มีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ แม้จะไม่รุนแรงเท่ากับจีนหรือเม็กซิโก แต่ยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม โดยเฉพาะในด้านการค้าระหว่างประเทศและการลงทุนจากต่างประเทศ
เศรษฐกิจไทยที่เปิดรับการค้าระหว่างประเทศสูงมีความเสี่ยงจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ และจากมาตรการภาษีต่างๆ ซึ่งอาจทำให้สินค้าจากจีนเข้ามาในภูมิภาคนี้ได้ง่ายขึ้น ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตของไทย รวมถึงผลกระทบจากการที่รัฐบาลไทยพยายามดึงการลงทุนจากต่างประเทศ แม้จะมีความพยายามจากรัฐบาล แต่เศรษฐกิจไทยยังขยายตัวต่ำกว่าที่ควร ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาทางโครงสร้าง เช่น การขาดนโยบายที่ชัดเจนในการปรับตัวให้เข้ากับโลกที่เปลี่ยนแปลง
ในด้านการบริหารเศรษฐกิจภายในประเทศ รัฐบาลได้พยายามจัดการเรื่องเงิน 10,000 บาทและค่าแรง 400 บาท ซึ่งแม้จะได้ผลบางส่วน แต่ก็เสียเวลาและทรัพยากรในการแก้ปัญหาดังกล่าว การดึงการลงทุนจากต่างประเทศยังไม่ชัดเจนและผลตอบรับยังน้อย
ในมุมของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีความยืดหยุ่นและตอบโจทย์โลกที่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น การปรับระบบกฎหมายและการพัฒนาทักษะของบุคลากร เพื่อตอบสนองต่อการลงทุนจากต่างประเทศและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี หากไม่ปรับตัวในด้านนี้ เศรษฐกิจไทยก็จะยังคงมีปัญหาต่อไป
นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอเกี่ยวกับการปฏิรูปภาษี โดยเฉพาะการปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม และการปรับระบบภาษีในด้านอื่นๆ เช่น ภาษีที่ดิน มรดก และภาษีจากการซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งอาจช่วยเพิ่มรายได้ให้กับรัฐและกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว
The Publisher: ระบบภาษียังไม่ไปตามช่องทางที่ควรจะทำ ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มควรจะเป็นทางสุดท้ายที่จะเลือก?
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ: การเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) นั้นมีข้อควรระวังหลายอย่าง เนื่องจากการเพิ่มภาษีนี้อาจส่งผลให้สินค้าแพงขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาในด้านเงินเฟ้อและลดกำลังซื้อของประชาชน โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน การเพิ่มภาษีในอัตราเดียวกันจะกระทบทั้งคนรวยและคนจนในระดับเดียวกัน ซึ่งทำให้เป็นภาระหนักกับผู้มีรายได้น้อย
หากรัฐบาลเสนอการเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 15% จะยิ่งเป็นเรื่องที่ยากต่อการได้รับการยอมรับจากประชาชน เนื่องจากเป็นการเพิ่มภาระทางการเงินให้กับประชาชนในทุกกลุ่ม ทำให้การเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มในระดับนี้อาจไม่สามารถดำเนินการได้ตามที่ตั้งใจไว้
The Publisher: การเตรียมความพร้อมของทางรัฐบาล การรับมือกับโดนัลด์ ทรัมป์ รัฐบาลมีความพร้อมแค่ไหน และมีวิธีคิดในเรื่องการบริหารเศรษฐกิจอย่างไร?
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ: ในการมองสถานการณ์เศรษฐกิจของไทย พรรคเพื่อไทยมีโอกาสที่จะได้รับความนิยมจากผลงานจริง ๆ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญสำหรับผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย เนื่องจากในอดีตเคยบริหารประเทศในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโต แต่ปัญหาคือหากพรรคเพื่อไทยมุ่งเน้นแค่การกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ผลลัพธ์อาจกลับสู่สภาพเดิม และเพิ่มภาระหนี้สินให้กับรัฐบาลเหมือนกับรัฐบาลก่อนหน้านี้ที่พยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกเงิน แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถยกระดับเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนได้
ในทางกลับกัน หากพรรคเพื่อไทยสามารถทำมาตรการเชิงโครงสร้าง เช่น ปรับปรุงกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ที่ส่งเสริมการลงทุนและการจ้างงานได้ ก็จะเป็นแนวทางที่ไม่เพียงแต่กระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว แต่ยังสามารถสร้างความนิยมในหมู่ประชาชนได้ด้วย
นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายจากนโยบายหาเสียงที่ยังติดอยู่กับแนวทางเก่า เช่น การเสนอเรื่องคาสิโนหรือคริปโต ซึ่งอาจไม่ได้ตอบโจทย์การฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะยาว ดังนั้น หากพรรคเพื่อไทยหันมามุ่งเน้นการทำมาตรการเชิงโครงสร้างที่เหมาะสม จะมีโอกาสที่จะพลิกฟื้นเศรษฐกิจและเพิ่มความนิยมทางการเมืองได้
The Publisher: มีมุมมองอย่างไรกับทุกนโยบายของคุณทักษิณถูกตั้งคำถามว่ามีเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่?
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ: คือมันก็ต้องบอกว่าคนก็อดคิดไม่ได้ เขาก็มองคดี แล้วก็เห็นว่าหลายเรื่องมันก็ ไปคล้ายเดิม และก็ประเด็นที่กลายมาเป็นประเด็นถกเถียงเงินทาง การเมือง เรื่องพื้นที่ในทะเล กัมพูชาเนี่ย ก็ก็เช่นเดียวกันนะครับผมว่าต้นตอของปัญหานี้เกิดขึ้นจากการที่คนส่วนมากไม่ไว้ใจ ไม่ไว้ใจว่ามันมีผลประโยชน์อื่นแบบแฝงหรือเปล่า และจะทำให้มันกระทบกับผลประโยชน์ ของประเทศ
The Publisher: คุณอภิสิทธิ์คิดอย่างไรกับ บริษัทที่เชิญมาก็เป็นหลานของคุณทักษิณเอง คนก็ตั้งคำถามว่าตกลงแล้ว จะมีการกำหนดนโยบายอะไรบางอย่าง มีผลประโยชน์ธุรกิจเข้าส่วนตัวของคนในครอบครัวเข้าไปหรือไม่?
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ: การเมืองในปัจจุบันของไทยยังคงมีความขัดแย้งที่คุกรุ่นจากการมองปัญหาในอดีต โดยเฉพาะเรื่องของคดีความที่เกิดขึ้นและการสงสัยเกี่ยวกับผลประโยชน์ของแต่ละฝ่าย ซึ่งรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยก็รู้สึกว่าได้มีการจ้องจับผิดจากองค์กรอิสระและมวลชนอยู่ตลอดเวลา ทำให้บรรยากาศทางการเมืองยังเต็มไปด้วยความระแวงและความไม่โปร่งใส หากไม่สามารถทำให้ทุกฝ่ายโปร่งใสได้ จะทำให้ปัญหายังคงอยู่และความขัดแย้งก็ไม่สามารถคลี่คลายได้
ในมุมมองของฝ่ายรัฐบาล หากโครงการต่าง ๆ ที่ดำเนินการอยู่ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง และสามารถแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสในการดำเนินงาน ก็น่าจะช่วยลดความสงสัยและทำให้บรรยากาศทางการเมืองดีขึ้นได้ ขณะเดียวกัน ฝ่ายฝ่ายค้านก็มีความกังวลเกี่ยวกับการทำงานของรัฐบาลและการตอบสนองต่อกฎหมายต่าง ๆ ที่อาจจะไม่ชัดเจนหรือไม่ตรงกับความคาดหวังของประชาชน ซึ่งอาจทำให้เกิดความสับสนและการปะทะกันในสภาได้
ทั้งพรรคฝ่ายค้านและรัฐบาลยังไม่ได้ใช้กลไกในสภาผู้แทนราษฎรอย่างเต็มที่ในการสร้างความเชื่อมั่นและการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ โดยการใช้เวทีสภาให้เกิดประโยชน์ในการสร้างความเข้าใจและความโปร่งใส ความไม่ชัดเจนในการทำงานร่วมกันระหว่างพรรครัฐบาลและฝ่ายค้าน รวมถึงปัญหาการมีวุฒิสภาที่บางคนมองว่าอาจจะอยู่ภายใต้อิทธิพลของพรรคร่วมรัฐบาล ก็ยิ่งทำให้ความขัดแย้งและการเดินหน้าของการเมืองไทยยังคงอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถตกลงกันได้ง่าย ๆ
The Publisher: คุณอภิสิทธิ์มีมุมมองในเรื่องของปัจจัยทางการเมืองที่จะมีผลในปีหน้าอย่างไรบ้าง?
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ: การเมืองไทยในขณะนี้ยังมีความไม่ชัดเจนในหลายด้าน ซึ่งสาเหตุหนึ่งก็มาจากการที่รัฐบาลภายใต้พรรคเพื่อไทยต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยผลงาน โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจและนโยบายต่าง ๆ ที่มีความคาดหวังสูงจากประชาชน หากไม่มีความชัดเจนหรือความคืบหน้าในระยะเวลาที่เหลืออยู่ น่าจะส่งผลให้การเลือกตั้งครั้งหน้าไม่เป็นไปตามคาดหวัง โดยเฉพาะกับคะแนนเสียงที่พรรคการเมืองฝ่ายค้านยังคงได้รับอยู่
ปัญหาสำคัญที่ยังคงมีอยู่ ได้แก่ การจัดการกับกฎหมายที่มีความละเอียดอ่อน เช่น กฎหมายเกี่ยวกับนิรโทษกรรมและมาตรา 112 ซึ่งยังเป็นปัญหาค้างคาและไม่มีความชัดเจนว่าจะเดินหน้าอย่างไร รวมทั้งเรื่องรัฐธรรมนูญที่กำลังอยู่ในช่วงการศึกษาว่าจะทำการแก้ไขหรือไม่ ซึ่งประเด็นเหล่านี้สร้างความขัดแย้งในสภาผู้แทนราษฎรและระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้การเดินหน้าของนโยบายและการเมืองในภาพรวมไม่ค่อยมีความแน่นอน
การที่รัฐบาลพยายามจะปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงในสภาและระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ยังต้องเผชิญกับปัญหาความไม่เข้าใจกันในหลายประเด็น และการจัดการกับความแตกต่างเหล่านั้นก็ยังไม่ชัดเจน หากรัฐบาลสามารถแก้ไขความขัดแย้งนี้และใช้เวทีสภาให้เกิดประโยชน์ในการสร้างความร่วมมือที่ดีขึ้นระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล จะสามารถช่วยเพิ่มบรรยากาศที่ดีขึ้นในการทำงานของรัฐบาลได้ และอาจช่วยให้นโยบายที่ออกมามีผลกระทบที่ดีกับเศรษฐกิจและการเมืองในภาพรวม
ในที่สุด หากรัฐบาลไม่สามารถปรับปรุงแนวทางการทำงานและการจัดการนโยบายที่ยังคงมีความขัดแย้งอยู่ การเมืองไทยก็จะยังคงมีความซับซ้อนและไม่มั่นคง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งครั้งหน้าและอนาคตทางการเมืองของประเทศ
The Publisher: บทบาทของคุณทักษิณ รวมไปถึงการอาจจะกลับมาของคุณยิ่งลักษณ์ จะมีผลอย่างไรกับความอยู่รอดของรัฐบาล?
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ: กรณีคุณยิ่งลักษณ์ เรายังไม่ทราบว่าจะกลับมาในเงื่อนไขแบบไหน แล้วในทางปฏิบัติจะเป็นอย่างไร ความหมายก็คือว่ามี การขอให้ได้รับการอภัยโทษมั้ย ได้รับหรือไม่ได้รับ หรือขอหรือไม่ขอ เข้ามาอยู่ภายใต้กฎหมายในรูปแบบหรือในลักษณะที่คนมองเห็นว่า มันเสมอภาคกับคนอื่นไหม ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น ก็จะไปเติม “เชื้อไฟ” จากในกรณีชั้น 14 เข้าไปอีก
The Publisher: สิ่งที่คนรู้สึกมากก็คือว่ากลับมา ได้รับพระราชทานลดโทษแล้ว ยังโกงเรื่องการลดโทษอีก?
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ: ณ ตอนนี้ผมว่ามันก็เลยประเด็นเพียงเท่านี้ไปด้วยว่า วันนี้คนก็ตั้งคำถามว่าตกลงอำนาจตุลาการ จะมีความศักดิ์สิทธิ์ไหม ถ้าหากว่าในที่สุดแล้ว ฝ่ายบริหารสามารถใช้มาตรการหลายรูปแบบสารพัดแล้วก็ทำให้มันไม่เป็นไปตามเจตนาของการตัดสินของฝ่ายตุลาการในเรื่องโทษ ตรงนี้มันก็จะเป็นผลที่ลุกลามขยายตัวไปเรื่อย ถ้ามีมาตรการหรือมีกรณีเพิ่มเติมเข้ามาอีก ดังนั้น ก็ไม่อยากจะเห็นไหมครับว่ามันย้อนกลับไปเป็นภาวะที่มันวิกฤต แล้วก็เผชิญหน้ากัน แล้วก็ขัดแย้งกันรุนแรงอีก
The Publisher: ปัจจัยอะไรที่อาจจะรุนแรงถึง ทำให้คนรู้สึกว่ามีการเคลื่อนไหว นอกจากคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาในประเด็น เอ็มโอยู 44 ?
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ: คือผมบอกว่า ของแบบนี้ไม่ควรจะไปประมาส วิกฤตทางการเมือง เศรษฐกิจ มันประมาทไม่ได้หรอก เราก็คิดว่าปัญหามันจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้น แต่จริงๆแล้ว วิกฤติเศรษฐกิจ เวลามันเกิด ต้มยำกุ้ง แบบแฮมเบอร์เกอร์ หรือโควิดเนี่ย คือมันเกิดจากจุด อาจจะเล็ก ๆ จุด 1 แล้วมันระเบิดออกมา ก่อนหน้านี้ เราแทบจะไม่เห็นเค้ามันเลย ถ้าถามผมเนี่ย ตอนที่เกิดวิกฤติสมัยรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ว่าไปแล้ว ก็ไม่มีเค้ามาก่อนนะ แล้วก็ขนาดว่าเกิดปัญหาน้ำท่วมในต่างๆ รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ก็มีเสถียรภาพพอสมควร ถ้าข้อกฎหมายนิรโทษกรรมเพราะสุดซอยปั๊บ ปฏิกิริยามันออกมาแบบไม่มีใครทน แต่คำว่าฟางเส้นสุดท้ายเนี่ย คือมันไม่ได้ว่าค่อยๆ เพิ่มขึ้นไง มันอยู่ดี ๆ ทันทีเลย จำนวนมากก็บอกว่า อย่างนี้ยอมไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นเนี่ยผมก็ไม่อยากให้ประมาท ยอมรับนะครับว่าสังคมไทยในปัจจุบัน ไม่อยากจะเห็น เรื่องการรวมเรื่องการเผชิญหน้ากันอีก แต่พอมันเป็นประเด็นที่ ในที่สุดมันไปกระทบความรู้สึกของคน แล้วก็รับไม่ได้ มันก็ตอบยากว่ามันจะนำไปสู่อะไร เขาจะไม่อยากให้ประหม่า แล้วก็ กรณีของ คุณสนธิในปัจจุบัน ซึ่งมุ่งเน้นอยู่ในเรื่องของ เอ็มโอยู ผมก็ยังแปลกใจอยู่ว่ารัฐบาลเนี่ย ใช้เวลาหรือสนใจในการที่จะมาตอบโต้ คุณสนธิหรือกลุ่มต่างๆ ที่เขา ตั้งคำถามหรือห่วงใยเกี่ยวกับการดำเนินการเรื่องนี้ทั้งหมดมากกว่าที่จะมาแสดงจุดยืนให้คนสบายใจ
The Publisher: เน้นตอบโต้มากกว่า?
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ: คือพยายามตอบตัวคุณไม่รู้จริงๆหรือว่า คุณผิด เรายังไม่ได้เสียดินแดน แล้วทำไมคุณไม่พยายามสื่อสาร อะไรที่ทำให้คนมั่นใจเลยล่ะ ว่าถ้าคุณไปเจรจาต่อหรือดำเนินการต่อแล้ว คุณรักษาผลประโยชน์ของประเทศจริง ๆ คือมันแปลกนะครับ คือกลายเป็นว่า อยากจะเถียงกับคนที่เขาตั้งคำถามขึ้นมามากกว่าที่จะพยายามสร้างความมั่นใจที่จะเดินหน้าไปทำเนียบ มันไม่ได้เป็นสิ่งที่จะต้องห่วงเพราะคุณพร้อมที่จะแสดงออกหรือพิสูจน์ว่าคุณจะรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างไร
The Publisher: ถ้าคุณอภิสิทธิ์มอง คิดว่าประเด็นอะไรที่คนจะทนไม่ได้?
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ: ถ้าเรื่องทำนองเดียวกับชั้น 14 มันขยายไปรูปร่างไปเรื่อยๆ แล้วมันก็มันทำให้เกิดความรู้สึกว่ากฎหมายมันไม่เป็นกฎหมาย ก็จะกลับไปท้าย ๆ กับอารมณ์เดียวกับตอนที่นิรโทษกรรมเรื่องคอร์รัปชันนั่นแหละ
The Publisher: อย่างเช่นถ้าคุณยิ่งลักษณ์กลับมา แล้วกระบวนการดูเหมือนมีอภิสิทธิ์ชนขึ้นมา จะเป็นชนวนหรือไม่?
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ: มันก็เป็นชนวน มันเติมเชื้อไฟแน่นอน แต่ว่าถามว่า มันจะไปสู่อะไรอย่างไร ผมก็ตอบว่าไม่มีใครรู้จริงๆหรอก ตอบยากมาก นะครับ แต่ผมก็อยากจะบอกว่า รัฐบาลก็อย่าประมาทนะครับ มันไม่ควรจะต้องปรามาสอะไรใครทั้งนั้นนะครับ เดือนหน้าพิสูจน์ตัวเองไปว่าจะไม่เป็นไปอย่างที่ข้อกล่าวหาคือที่ภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุด
The Publisher: มีครั้งหนึ่งตอนที่คุณอภิสันปราศรัย ตอนช่วยเลือกตั้งแข่งกับคุณยิ่งลักษณ์ เคยมีคำพูดหนึ่งที่ว่า คุณยิ่งลักษณ์มาลงสนาม เป็นคนที่น่าสงสาร แล้วสุดท้ายคุณยิ่งลักษณ์ก็มีชะตากรรมที่ตอนนี้ต้องไปอยู่ต่างประเทศ แล้วสำหรับคุณอุ้งอิ๊งคุณอภิสิทธิ์คิดอย่างไร?
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ: ทุกคนพูดรวมก็แล้วกันนะครับผมบอกว่า ทุกคนต้องพยายามเรียนรู้จากอดีต นะครับ ถ้าเรียนรู้จากอดีตมันก็จะหลีกเลี่ยงไม่ทำผิดซ้ำ ดังนั้น อาจจะเป็นตัวนายกปัจจุบันนะครับหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวไม่ว่าจะเป็นผู้แวดล้อม ผมก็อยากจะให้ ย้อนกลับไปดูว่า ปัญหามันเกิดจากอะไร แล้วก็หลีกเลี่ยงอย่าไปทำให้มันเกิดซ้ำรอยขึ้นอีกเลย ผมว่ามันไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรกับใคร
The Publisher: ในฐานะที่เคยเป็นนายกรุ่นพี่ มีคำแนะนำอะไรให้นายกรัฐมนตรี?
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ: อันนี้หนักใจอยู่ครับ ในการที่จะให้คำแนะนำ เพราะรู้สึกว่านายกปัจจุบันมีความมั่นใจในตัวเองพอสมควร แต่ต้องบอกว่า สิ่งสำคัญที่สุด หลายนายกรัฐมนตรี ก็คือหนีไม่พ้นการต้องเรียนรู้ตลอดเวลา ขนาดคนที่มีประสบการณ์ทางการเมืองประสบการณ์ในระบบ รัชกาลทำงานภาครัฐ หรือแม้กระทั่ง นักธุรกิจ ซึ่งประสบความสำเร็จเข้ามา ทำให้เรียนรู้ การแก้ปัญหาที่มันมี ความสลับซับซ้อนเกี่ยวกับคนจำนวนมาก ซึ่งมีความต้องการ และความเห็นแตกต่างกันไปเนี่ย มันก็จะทำไม่ได้ ดังนั้นเนี่ยสำคัญก็คือต้องต้องเรียนรู้ตลอดเวลา ในที่สุดแล้วเนี่ย ก็คือ ที่จะทำงานให้กับส่วนรวม โดยสุจริต ผมเชื่อว่า มันไม่มีใครหรอกครับ ทำงานแล้วถูกใจคนทั้งหมด หรือบางครั้งก็อาจจะไม่ถูกใจคนส่วนใหญ่ก็ได้ แต่ตราบใดที่เห็นว่าการทำงานนั้นเป็นไปโดยความตั้งใจที่ดี โดยสุจริต พูดง่ายๆ คือขวนขวายหาความรู้ ใช้ความสามารถอย่างที่ควรจะเป็นแม้ผลออกมาจะไม่เป็นที่พอใจ ก็จะไม่เป็นปัญหาที่จะลุกลามได้ แต่การไม่เรียนรู้ก็ดี หรือการที่มีผลประโยชน์ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่อันตรายมากในการที่จะนำไปสู่วิกฤติได้
The Publisher: ที่ให้คำแนะนำไป เห็นสิ่งเหล่านั้นในตัวคุณอุ๊งอิ๊งหรือไม่?
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ: ผมก็คงจะต้องรอดูว่ามีสัญญาณว่าขณะนี้ได้ตระหนักถึง วิพากษ์วิจารณ์ มันต่างมากน้อยแค่ไหน มีการตอบสนองอย่างไร
The Publisher: รัฐบาลเพื่อไทย บริหารต่อเนื่องมากว่าเกือบ 2 ปีแล้ว คุณอภิสิทธิ์มองว่าเป็นอย่างไรบ้าง?
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ: ตอบยากนะครับ คือ ให้คะแนนเนี่ยมันต้องมีการบ้านมาส่ง คือตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะส่งผลงานอะไรนะครับ การที่คุณ เศรษฐา ได้ออกมาเปิดเผยแผนงานต่างๆ นั้น อาจจะดูเหมือนเร็วเกินไป แต่ก็ต้องยอมรับว่า มีความพยายาม ที่จะผลักดันเรื่องบางอย่างที่สำคัญ เช่น กฎหมายส่งเสริมการเท่าเทียม ซึ่งมีความพยายามจากหลายพรรคการเมือง แต่มาได้ผลในยุคของคุณเศรษฐา ซึ่งต้องยกเครดิตให้กับเขาในด้านนี้
ในส่วนของ การพัฒนาประเทศในด้านต่างประเทศ คุณเศรษฐาเองก็พยายามที่จะ ยกระดับบทบาทของประเทศไทย โดยเฉพาะในเรื่องการดึงดูดการลงทุน ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยมีความสำเร็จในการ ดึงความสนใจจากต่างประเทศ มาสู่ประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดเรื่องเวลา เพียงแค่ 1 ปี ที่มีอยู่ และปัจจัยอื่นๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้ผลลัพธ์อาจจะไม่เป็นไปตามที่เขาคาดหวังหรือหวังไว้
The Publisher: สื่อมวลชนเดี่ยวนี้ก็มีฉายามาเยอะเลย?
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ: ไม่มีนะครับ โอเค ผมไม่กินไม่มีผมไปตั้งเจ้าหน้าที่ผมที่ไปตั้งสายยากนะครับ แล้วก็ต้องบอกว่า สิ่งที่สื่อตั้งมาเนี่ยก ผมว่าก็ ก็ตรงกับ ความรู้สึกของคนจำนวนมากที่รับรู้ ตอนนี้ก็ต้องบอกว่าดูเหมือน ไม่ ไม่ปล่อยให้ลูกโตด้วยตัวเองเนี่ย การเลี้ยงแบบนี้ก็ก็อันตรายสำหรับลูก
The Publisher: เป็นเรื่องพ่อแม่อรังแกฉันหรือเปล่า?
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ: ยังไม่วิจารณ์อย่างงั้นเดี๋ยวเรื่องครอบครัวทั้ง แต่ว่ายังอยากจะย้ำอ่ะครับว่า จริงๆ จะมาอย่างไร หรือจะเกี่ยวข้องกับใคร แล้วเป็นที่มาตรงนี้เนี่ย แต่ว่าเมื่อมาดำรงตำแหน่งแล้วเนี่ย ก็ต้องเป็นตัวของตัวเอง รายการที่จะทำงาน เพราะในที่สุดบันทัดสุดท้ายเนี่ย ให้ความรับผิดชอบ ก็จะอยู่ที่เรา มันก็จะไม่ต่างกับบรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหลายซึ่งขณะนี้กำลังถูกสอบแหละ ไม่ว่าคุณไปเชื่อใคร หรือต้องไปยอมใคร หรือไปกลัวใคร แต่ในที่สุดเนี่ย ใครเหล่านั้นเนี่ยเขาไม่มารับผิดชอบของคุณ คุณก็ต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง นี่คือปัญหา
The Publisher: ให้ทางคุณอภิสิทธิ์ช่วยอวยพรปีใหม่ให้แฟนคลับหน่อย?
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ: เราทุกคนต้องอยู่ด้วยความหวัง อยู่ด้วยความฝัน เพราะว่าจริง ๆ แล้วในขณะที่ความวุ่นวายจะเกิดขึ้น ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกครับว่าเราไม่อยู่ในยุคที่เรามีเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก เครื่องมือ เยอะแยะมากมายแบบที่มนุษย์ไม่เคยมีมาก่อน และขณะเดียวกันเนี่ยผมก็ยังเชื่อในความเข้มแข็งพื้นฐานของคนไทย แล้วก็สังคมไทยโดยรวม เรามีอะไรดีเยอะ ที่ผมอาจจะใช้คำว่าทุนที่คนมองไม่ได้เห็น ถ้าเรามองในมุมนี้ก็อยากจะบอกว่า เรื่องที่ไม่ดี แล้วผมก็เชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศก็อยากให้มันผ่านพ้นไปพร้อม ๆ กับ สีเก่า แล้วปีใหม่เราดึงจุดดีจุดแข็งของคนทุกคนในสังคมนี้ แล้วก็มาสร้างสิ่งดีๆ
The Publisher: คิดถึงคุณอภิสิทธิ์อยากให้เข้ามาทำงานการเมืองอีก จะมีโอกาสได้เห็นแบบนั้นหรือไม่?
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ: ผมยังมองไม่ได้ว่าเห็นไหม แต่ว่าผมก็พูดเสมอนะคะว่าผมก็สนใจนะครับ ใส่ใจติดตามการเมืองเป็นงานที่ผมชอบในงานนี้ผมรัก ผมก็ยังมีความปรารถนา อย่างแรกกล้า ความเปลี่ยนแปลงในประเทศขณะนี้ แต่ว่าผมทำงานการเมืองเนี่ย งานการเมืองของผมมันคืองานระบบ หอพักของประชาธิปไตย เมื่อเงื่อนไขมันไม่อำนวยให้เราสามารถทำได้ เราก็ต้องยอมรับ ที่ต้องพูดอย่างนี้เพราะว่าขนาดเมื่อคืนก็เจอประชาชนก็มายืนต่อว่าผมนะครับว่า ว่า เอ๊ะ คุณหนีไปไหน คุณกลัวอะไร บอกว่าไม่ใช่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องกลัว แต่ว่าเราทำงานแบบอยู่ในระบบ เราก็คิดว่าวันปัจจุบันเนี่ย ระบบมันไม่ได้เอื้อให้เราสามารถเข้าไปทำงานได้ เราก็ต้องถอยออกมา แต่ว่า ถ้ามันมีโอกาสมีจังหวะ มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ได้ปิดประตูตายครับ ไม่เคยอยู่ประตูตายแล้วก็ไม่เคยบอกว่าจะกลับเข้าไปนะครับ มันเมื่อไม่มีเงื่อนไข ที่คิดว่าแบบจะทำประโยชน์ได้ก็ไม่กลับเข้าไป คือขึ้นอยู่กับโอกาสจังหวะ และรวมถึงเวลาที่ใช่สำหรับประชาชนด้วย