.
ในขณะที่นักการเมืองกำลังสาละวนอยู่กับการผสมข้ามขั้วเข้าสู่อำนาจ มีปัญหาหนึ่งที่คนมีอำนาจไม่ควรมองข้าม และต้องเร่งหาทางรับมือโดยด่วน ก่อนที่จะเกิดวิกฤตทุเรียนไทย ซึ่งในขณะนี้ก็โดนเวียดนามเข้ามาแย่งตลาดจีนไปออย่างมีนัยยะสำคัญ ประกอบกับจีนก็เริ่มปลูกทุเรียนเองแล้ว และยังมีผู้เล่นใหม่ ๆ กระโจนเข้าสู่สนามนี้เพิ่มเติมด้วย
.
ล่าสุดมีรายงานว่า สำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (GACC) มีหนังสือถึงสำนักงานที่ปรึกษาการต่างประเทศ ประจำกรุงปักกิ่งว่า ทางการจีนตรวจพบการปนเปื้อนแคดเมียมในทุเรียนส่งออกไปจีนของไทย ปี 2567 จำนวน 5 ครั้ง 15 ชิปเม้นท์ ขอให้ฝ่ายไทยระงับสวนและโรงคัดบรรจุที่พบเป็นการชั่วคราว พร้อมทั้งตรวจสอบหาสาเหตุและกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหา ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (29 ส.ค.) กองพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าพืช กรมวิชาการเกษตร เชิญผู้ประกอบการโรงคัดบรรจุ ประชุมหารือแนวทางป้องกันแก้ไขปัญหาการตรวจพบการปนเปื้อนแคดเมียมในทุเรียนส่งออกไปจีนแล้ว
.
.
คำถามคือมีแคดเมียมปนเปื้อนในทุเรียนไทยที่ส่งออกไปจีนได้อย่างไร ทั้งที่เราส่งออกมานานไม่เคยประสบปัญหานี้ มีใครย้อมแมวเอาทุเรียนเวียดนามมาสวมรอยทุเรียนไทยส่งออกไปจีนหรือไม่ เพราะจีนตรวจพบสารแคดเมียมเกินมาตรฐานในทุเรียนเวียดนามทำให้ส่งออกไปจีนยากขึ้น
.
มีพ่อค้าหัวใส ใจไม่บริสุทธิ์ คิดฟันกำไรนำทุเรียนเวียดนามมาสวมสิทธิทุเรียนไทยส่งออกไปจีนหรือไม่
.
ผลกระทบที่ตามมาหลังจีนตรวจพบสารแคดเมียมปนเปื้อนเกินมาตรฐานในทุเรียนไทย จะทำให้ทุเรียนไทยเสี่ยงถูกแบน หรือถูกตรวจอย่างเข้มข้นมากขึ้น ทำให้ขั้นตอนการนำเข้าประเทศจีนอาจต้องล่าช้าจาก 7-8 วัน เป็น 10 วัน ทำให้ผู้ส่งออกทุเรียนไทยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
.
หากไม่รีบแก้ไขอาจส่งผลกระทบต่ออการส่งออกทุเรียนไทย ซึ่งปีที่แล้วไทยมีมูลค่าส่งออกทุเรียนมากถึง 1.4 แสนล้านบาท ถึงเวลาที่ต้องเอาจริงเอาจังกับการลักลอบนำเข้าทุเรียน ที่มีทั้งนำมาขายภายในประเทศและสวมสิทธิส่งออก จนตอนนี้คนกินทุเรียนเองก็ยังไม่รู้ว่ากำลังกินทุเรียนไทยอยู่ หรือกินทุเรียนต่างชาติ
.