เป็นข้อความและหลักฐานที่นายคำนูน สิทธิสมาน อดีต สว.ได้ค้นคว้าและโพสต์ไว้ในเพจเฟซบุ๊ก รวมถึงฝากให้ The Publisher ร่วมบันทึกไว้ชื่อ “เกาะกูดเป็นของไทยทั้งตัวเกาะ และทะเลอาณาเขต รัฐอื่นจะลากเส้นผ่ากลางไม่ได้”
โดยไล่เรียงเริ่มจากระบุเกาะกูดเป็นของไทยมา 127 ปีแล้ว ตามหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ.1907 และไม่ใช่เพียงตัวเกาะ แต่รวมถึงผืนน้ำโดยรอบทั้งหมด ทั้งส่วนที่เป็นทะเลอาณาเขต,เขตต่อเนื่อง,เขตเศรษฐกิจจำเพาะ หรือไหล่ทวีปด้วย
ดังนั้น เมื่อกัมพูชาประกาศกฤษฎีกากำหนดเขตไหล่ทวีปเมื่อปี ค.ศ.1972 โดยลากเส้นเขตไหล่ทวีปด้านทิศเหนือผ่ากลางเกาะกูดตรงมายังจุดกึ่งกลางอ่าวไทยทั้ง 3 แบบ ที่ล่าสุดเขียนเส้นโค้งเว้าอ้อมประชิดตัวเกาะด้านใต้เป็นรูปตัว U ตามที่แนบท้าย MOU 2544 ล้วนมีค่าเสมอกันคือ ผิดทั้งหมด เพราะจงใจละเมิดอธิปไตย และบูรณภาพเหนือดินแดนประเทศไทย
นายคำนูนบอกว่าเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง และเปลือยให้เห็นเจตนาของรัฐบาลเพื่อนบ้านเมื่อ 52 ปีก่อน ที่หวัง “ฮุบ” ทรัพยากรปิโตรเลียมใต้อ่าวไทยเป็นสำคัญ เพราะถ้าไม่มีเส้นเขตไหล่ทวีป ที่ผ่ากลางเกาะกูดจบที่กึ่งกลางอ่าวไทยก่อนวกลงใต้ ก็ไม่สามารถสนองเจตนา “ฮุบ” ได้
ขณะที่ประเทศไทยดำเนินการตอบโต้มาตลอด ทั้งการประกาศพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปด้านอ่าวไทย พ.ศ.2518 ตั้งประภาคารและกระโจมไฟบนเกาะกูด ส่งกำลังทหารประจำการและลาดตระเวนทั้งตัวเกาะและน่านน้ำ ซ้อมรบทางยุทธวิธีเป็นประจำ ล่าสุดเมื่อมีนาคม 2567
ทั้งนี้ เมื่อกัมพูชาและไทยต่างประกาศเขตพื้นที่ไหล่ทวีปของตนแตกต่างกัน ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน” แต่ทางการไทยไม่เคยยอมรับจนนำไปอ้างอิงทางกฎหมายได้ว่ามีพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนในอ่าวไทย ดังนั้น “ฮุบ” กัมพูชาแปรมาเป็น “ฮั้ว” โดยเริ่มเจรจาเรื่องนี้มาตลอด โดยขอแบ่งผลประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมใต้ทะเลไม่พูดถึงเขตแดน แต่ทั้งหมดไม่มีความคืบหน้า เพราะกัมพูชาจะเจรจาแต่เรื่องผลประโยชน์ ไม่พูดเรื่องเส้นเขตไหล่ทวีปละเมิดอธิปไตยไทย
แต่เมื่อมีการลงนาม MOU ไทย-กัมพูชาปี 2544 ถือเป็นครั้งแรกที่ไทยยอมรับอย่างเป็นทางการ การมีอยู่ของพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน รวมถึงเขตไหล่ทวีปของกัมพูชา เรื่องนี้ยังถูกพูดถึงมา 20 ปีว่า MOU นี้ถูกหรือผิด และมีความพยายามยกเลิก MOU นี้ และเมื่อลูกสาวของนายกรัฐมนตรีที่ทำ MOU ปี 2544 ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี วิวาทะเดิมจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง
พร้อมกับเตือนนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่า MOU 2544 คือทางตัน ไม่ใช่ทางออกของปัญหานี้ แต่อาจเป็นได้แค่ทางออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำ หากไม่ใช้วิจารณญาณดำเนินการอย่างรอบคอบ
นายคำนูนแนะว่าทางออกเรื่องนี้ต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือก่อนเดินหน้าเจรจาเกี่ยวกับทรัพยากรปิโตรเลียมใต้อ่าวไทย ประเทศไทยต้องขอให้กัมพูชายกเลิกกฤษฎีกากำหนดเขตไหล่ทวีปปี ค.ศ.1972 ก่อน จากนั้นกำหนดเขตใหม่ที่ไม่ละเมิดอธิปไตยของไทย ซึ่งหากมีพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนเหลืออยู่ค่อยพิจารณาเจรจากัน ทั้งการปักปันเขตแดนทางทะเล และบริหารจัดการทรัพยากรปิโตรเลียมใต้ทะเลในพื้นที่ทับซ้อนที่เหลือ หรือเรียกว่ายกเลิกเส้นฮุบปิโตรเลียม 1972 ก่อนแล้วค่อยคุยกัน หากกัมพูชาไม่แก้ไขการกระทำผิดในอดีต ก็ไม่มีเหตุใดที่ประเทศไทยต้องไปเจรจาด้วยในเรื่องนี้