Author: Writer Publisher

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยถึงความคืบหน้ามาตรการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการบัญชีม้า ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการหลอกลวงและรับเงินของมิจฉาชีพ จากความร่วมมือระหว่างกระทรวงดีอี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สมาคมธนาคารไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่ามีการระงับบัญชีม้าแล้วกว่า 1,660,000 บัญชี (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2567) แบ่งเป็น ปปง. 630,537 บัญชี ธนาคารระงับ 581,637 บัญชี และศูนย์ AOC ระงับ 455,241 บัญชี นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังได้ขยายผลจับกุมเจ้าของบัญชีม้าอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 (มกราคม – ธันวาคม) จับกุมได้ 2,495 ราย เฉพาะเดือนธันวาคม 2567 จับกุมได้ 328 ราย นายประเสริฐ ย้ำว่า การขายบัญชีม้าไม่ว่าจะรูปแบบใด มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 มาตรา 9 และอาจถูกดำเนินคดีในฐานะผู้สนับสนุนการกระทำความผิด รวมถึงถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจากผู้เสียหายด้วย สำหรับผู้ที่หลงเชื่อขายบัญชีธนาคารไปแล้ว ควรรีบติดต่อธนาคารเพื่อปิดบัญชีโดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันตนเองจากการถูกดำเนินคดี นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ยังได้หารือถึงการยกระดับมาตรการจัดการภัยทุจริตทางการเงิน โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกหนังสือเวียนให้สถาบันการเงินทุกแห่งเพิ่มความเข้มงวดในการจัดการบัญชีที่มีความเสี่ยงสูงหรือมีพฤติกรรมผิดปกติ โดยจะดำเนินการกับบัญชีในปัจจุบันและบัญชีเปิดใหม่ทั้งหมด “กระทรวงดีอีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการป้องกันและปราบปรามบัญชีม้าอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มความเข้มงวดในการเปิดบัญชีธนาคารใหม่ หากพบความผิดปกติจะดำเนินการตรวจสอบทันที” นายประเสริฐ กล่าว

Read More

ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผอ.สำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า ร่วมถอดรหัสการเลือกตั้งสนาม อบจ. เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 68 กับ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร โดยระบุว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีหลายฝ่ายที่ต้องเอาปี๊บคลุมหัว รวมถึงตัวของเขาเองด้วย เพราะเคยวิเคราะห์ว่า พรรคประชาชนจะไม่ได้นายกอบจ.เลย แต่เขาได้มา 1 จังหวัดที่ลำพูน คนที่เขาหวังไว้เยอะแล้วแพ้ก็เรียกว่าอยู่ในกลุ่มที่อาจยังไม่ถึงขั้นต้องเอาปี๊บคลุมหัว เพราะหลายค่ายสีก็ประสบความสำเร็จ เช่นประชาชนปักธงได้หนึ่งจังหวัด เป็นย่างก้าวที่สำคัญและมีบทเรียนให้ขบคิดว่าต้องทำอย่างไรกับสนามท้องถิ่นและลำพูนจะเป็นโมเดลต้นแบบว่าถ้าคนเลือกตั้งมากเขามีโอกาสมาก ก็ต้องทำให้คนมาใช้สิทธิเยอะ แม้จะถูกมองว่าผู้สมัครมีกลิ่นอายบ้านใหญ่อยู่ด้วย ธงที่พรรคประชาชนปักได้จังหวัดเดียวคือบททดสอบและโอกาสที่พรรคประชาชนได้ขอกับประชาชนมาตลอดเพื่อทำงานบริหาร เมื่อได้โอกาสแล้วต้องบริหารงานให้เป็นรูปธรรม ส่วนในพื้นที่ที่มีสส.ยกจังหวัด หรือแม้แต่มีผู้สมัครเป็นอดีตนายก อบจ.อย่างนครนายก ก็พลาดไปนั้นในมุมของผมไม่คิดว่าน่ากลัวมาก เพราะแม้ภาพรวมจะแพ้แต่เมื่อดูคะแนนที่ได้มาจะเป็นว่ามีความสัมพันธ์กับประชาชนที่ไปใช้สิทธิ์น้อย แปลว่าสถานภาพของพรรคยังทรง ๆ ไม่ต่างจากการเลือกตั้งปี 66 ไม่ได้ตกต่ำลงไปมาก สถานการณ์จากการเลือกตั้งครั้งนี้จึงไม่ได้บอกว่าแดงกินส้ม หรือ ประชาชนคายส้มแล้ว แต่สองปีนับจากนี้เป็นงานหนักของพรรคประชาชนที่ต้องพิสูจน์ตัวเอง สร้างคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น ส่วนกรณีนายทักษิณ ชินวัตร บิดานายกฯ เจ้าของวลี “ถ้าแพ้ต้องเอาปี๊บคลุมหัว” นั้น ผอ.สำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า มองว่า นายทักษิณอาจจะอายนิดหน่อยเพราะเล่นใหญ่ไว้หลายพื้นที่ แต่ถ้ามองดี ๆ รอบนี้พรรคเพื่อไทยไม่ได้ล้มเหลวอะไร เพราะส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เข้าท้าชิง เช่น เชียงราย ศรีสะเกษ เมื่อมีนายทักษิณไปช่วยแล้วไม่ชนะ สถานการณ์ก็ถือว่าเท่าเดิม เพราะไม่ใช่เจ้าของพื้นที่เดิม เพียงแต่ที่ศรีสะเกษแพ้เยอะให้กับแชมป์เก่าสีน้ำเงิน อันนี้ก็ต้องถอดบทเรียน แต่ก็ยังมีพื้นที่ที่เขาปักธงใหม่ได้ เช่น นครพนม สกลนคร และ หนองคาย “เพียงแต่เราไปโฟกัสจังหวัดที่คุณทักษิณไป 8 จังหวัดแพ้ครึ่งหนึ่งชนะครึ่งหนึ่ง ก็เลยอาจเรียกว่าไปแล้วผิดหวัง และสะท้อนว่ามนตร์ไม่ขลังเหมือนเดิม คาถาของคุณทักษิณไม่ใช่คาถาวิเศษเหมือนยุครุ่งเรืองอีกแล้ว แต่ยังพอมีมนตร์ขลังในแง่กระทบทำให้แชมป์เก่าเจ้าของพื้นที่เหนื่อยและสะเทือนอยู่บ้าง และเมื่อมองไปถึงสนามเลือกตั้งครั้งใหญ่ก็ยังเห็นนทิศทางว่ามีโอกาสจะเข้าทางพรรคเพื่อไทย แต่คงไม่ถึงขนาดจะได้ 200 ที่นั่งขึ้นไปตามเป้าหมายของคุณทักษิณ ถ้าจะทำให้ตามเป้าหมายนั้นยังต้องออกแรงอีกนิด เพราะเดิมเขาเคยได้ 112 เขต ในการเลือกตั้งปี 66 เชื่อว่าเพิ่มขึ้นแน่ แต่ถ้าจะไปให้ถึง 200 แปลว่าต้องได้ราว 170 เขต…

Read More

ช็อกวงการบันเทิงไต้หวันไม่น้อย หลังมีการยืนยันจากน้องสาวของ “ต้าเอส” หรือ สวีซีหยวน นางเอกชื่อดังเจ้าของบทบาท “ซานไช่” จากซีรีส์ในตำนาน F4 รักใสใสหัวใจสี่ดวง เวอร์ชัน ไต้หวัน ได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหันระหว่างเดินทางท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นในช่วงเทศกาลวันตรุษจีนที่ผ่านมา ซึ่งสาเหตุการเสียชีวิตของนางเอกดังเกิดจากภาวะปอดอักเสบจากไข้หวัดใหญ่ โดยข่าวการสูญเสียครั้งนี้ได้รับการยืนยันจากน้องสาวผ่านผู้จัดการส่วนตัว ‘เสี่ยวเอส’ ผู้เป็นน้องสาวของ ‘ต้าเอส’ กล่าวว่า “ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง! ในช่วงวันหยุดปีใหม่ พวกเราเดินทางมาท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่น แต่แล้วพี่สาวที่รักและใจดีของฉันต้องจากไปเพราะภาวะแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่ ฉันรู้สึกขอบคุณที่ได้เกิดมาเป็นน้องสาวของเธอ เราดูแลกันและกันมาตลอด ฉันจะจดจำและคิดถึงเธอเสมอ… ซาน ไปสู่สุขคตินะ รักเธอตลอดไป” อย่างไรก็ตาม ข่าวการจากไปอย่างกะทันหันของนางเอกสาวสร้างความสะเทือนใจให้กับคนในวงการบันเทิงและบรรดาแฟนคลับของเธอไม่น้อย ขณะนี้ทางครอบครัวกำลังจัดเตรียมพิธีศพ และอยู่ในระหว่างทำใจในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้

Read More

นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊ก วิพากษ์การทำงานของ กกต.ในการเลือกตั้งนายกอบจ.เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา ระบุว่า วัดใจ วัดฝีมือกกต จะกล้าประกาศเลือกตั้งนายกอบจ.จังหวัดไหนบ้าง ที่ไม่โกงหลักฐานแจกเงินชัดเจนที่จังหวัดมหาสารคาม 1 ในตัวอย่าง ทุจริตโกงเลือกตั้ง โจ๋งครึ่มทั่วประเทศแบบนี้ นายสมชายยังได้ยก มาตรา17 วรรค2 ของพรบเลือกตั้งท้องถิ่น ที่ระบุว่า“ในกรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ไม่ว่าจะมีผู้ร้องเรียนกล่าวโทษหรือไม่ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งด าเนินการสืบสวนหรือไต่สวนให้แล้วเสร็จและประกาศผลการเลือกตั้ง หรือจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ หรือ ดำเนินการอื่นที่จำเป็น แล้วแต่กรณีโดยเร็ว แต่ต้องไม่ช้ากว่าหกสิบวันนับแต่วันเลือกตั้ง” มากระทุ้งให้กกต.เร่งทำหน้าที่ด้วย “งานนี้กกต.ไม่สามารถประกาศรับรองได้แน่นอน 100% กกต ต้องดำเนินคดีทุจริตอย่างถึงที่สุด ทั้งอาญาและแพ่ง เรียกค่าเสียหายแทนรัฐในการต้องประกาศจัดเลือกตั้งใหม่ และต้องตัดสิทธิ์เลือกตั้งทั้งสองฝ่าย” นายสมชาย ระบุทิ้งท้าย

Read More

จากกรณี นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย เผยภาพหลังได้มีโอกาสประชุมอย่างไม่เป็นทางการของประธานอาเซียนกับอดีตนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ ชินวัตร พร้อมกับนายจอร์จ เยียว อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสิงคโปร์ เพื่อหารือในหลายประเด็นสำคัญด้านสถานการณ์ของประเทศเมียนมาร์ และการพัฒนาของสกุลเงินดิจิทัล ด้านผู้เป็นลูกสาวอย่าง นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ก็ได้มีการโพสต์รูปภาพดังกล่าว พร้อมกับระบุข้อความ So proud of you Daddy (ภูมิใจในตัวคุณนะคะพ่อ) พร้อมติดแท็กอินสตาแกรมนายทักษิณ

Read More

ประเด็นการตัดไฟชายแดนที่อาจส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ การพิจารณา การดำเนินการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในสถานการณ์ที่มีความซับซ้อนและต้องอาศัยการประสานงานจากหลายฝ่ายในการตัดสินใจที่สำคัญ พร้อมทั้งยังเตรียมปรับสัญญาตรวจพื้นที่ก่อนจ่ายไฟ พูดคุยกับ รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการด้านกม.-บอร์ดกฟภ. ในรายการ เที่ยงเปรี้ยงปร้าง ดำเนินรายการโดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร The Publisher The Publisher: กฟภ. จัดการกับปัญหาที่มันเกิดขึ้นอย่างไร? รศ.ดร.เจษฎ์: ต้องเรียนอย่างนี้ครับว่าที่สังคมไทยรับรู้ก็คือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคก่อนที่จะดำเนินการใช้ไฟไปต่างประเทศได้ มีการขอไปที่คณะรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีที่เคยมีมติเมื่อปี 2539 โดยที่บอกว่าให้ กฟภ. ไปดำเนินการโดยมีกรอบและเกณฑ์ว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง ส่วนหนึ่งของการดำเนินการนั้นก็คือ ต้องไปคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีหน่วยงานความมั่นคงอยู่ในส่วนเหล่านั้นด้วย ไม่ได้มีเพียงแค่หน่วยงานความมั่นคง อย่างที่ใครหลายๆ คนตั้งคำถามว่าหน่วยงานความมั่นคงแปลว่าอะไร? ทหารอย่างเดียวหรือ? ผมว่าทางมหาดไทยก็คงไม่ได้ปฏิเสธหรอกว่าตัวเองก็เป็นส่วนหนึ่งของหน่วยงานความมั่นคง ตำรวจ ทหารอะไรต่างๆ ก็มี แต่ถ้ากระทรวงการต่างประเทศก็มีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับความมั่นคง ทั้งภายในประเทศและชายแดน มันเป็นเรื่องทั้งระหว่างประเทศและภายในประเทศด้วย พอคุยแล้วทาง กฟภ.เห็นว่ามันสรุปมาได้ว่า เราไม่มีอะไรที่กระทบต่อความมั่นคง เราไม่มีอะไรที่เป็นปัญหาต่อบ้านเมือง รวมถึงกำลังไฟที่เราจะดูแลพี่น้องของเรา ที่ทาง กฟภ. ดูแล้วว่าเขาจะจ่ายไฟไป พอจะตัดไฟก็คือเลิกจ่ายไฟไป มันไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ คนใดคนนึงพูด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นคนที่ไม่ได้อยู่ในสายการบังคับบัญชาที่สามารถพูดแล้วมันต้องดำเนินการตาม ถ้าไปทำมันก็เท่ากับกระบวนการตอนจ่ายศูนย์สิ้นไปเลย กระบวนการตอนจะงดจ่ายหรือตัดไฟมันก็ต้องทำเช่นเดียวกัน มันก็ต้องคุย ต้องถาม ต้องหาข้อมูล ต้องมีข้อสรุป อันที่จริงก็มีอยู่สองเรื่อง ถ้ามีตามสัญญาที่ได้กำหนดไว้ 1. ถ้าไม่จ่ายไฟก็คงไม่ต้องไปถามใครหรอก ทางฝั่งนู้นไม่จ่ายไฟก็ตัด 2. เรื่องความมั่นคง อย่างที่คุณอนุทินได้ให้สัมภาษณ์เป็นตัวอย่างการกำกับดูแลภาครัฐวิสาหกิจที่ดีมาก เพราะรัฐต้องทำงานทำหน้าที่ ต้องมีพรบ. พรก.ที่ทำให้เขาต้องทำงานได้ รมว. ในฐานะที่กำกับก็จริง แต่หากรมว.บอกว่าทำแบบนั้นสิ ทำแบบนี้สิก็เหมือนเป็นการก้าวล่วง การที่คุณอนุทินบอกว่า ในฐานะ รมว.กระทรวงมหาดไทยจะไม่เป็นคนสั่งการหรือกำหนดให้ทำนู่นทำนี่ก็ต้องส่งให้ กฟภ.จัดการ จะให้ผู้ว่าการ จะให้คณะกรรมการพูดคุยกัน ผมถือว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ ในฐานะที่กระทรวงมหาดไทยดูแล แต่ว่าสิ่งที่คุณอนุทิน ชาญวีรกูล แสดงให้เห็นคือ กฟภ. เขาสามารถทำของเขาได้ ในฐานะที่เป็นรมต.กำกับ แน่นอนต้องประสานงาน ต้องอะไร แต่ต้องไม่ใช่เป็นคนสั่ง ในที่สุดก็คือว่าคนที่จะเป็นคนสั่ง ถ้าจะบอกว่าจะเป็นคุณภูมิธรรม เวชยชัย คุณทักษิณ ชินวัตร ท่านเหล่านี้จะไปสั่งได้ยังไง ท่านอาจจะให้ความเห็นได้ไม่ว่าอะไร ใช่ไม่ใช่ก็แล้วแต่ คนก็ไปพิจารณากัน…

Read More

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก คนล้านนา ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 1.2 แสนราย ได้โพสต์ภาพ ‘โรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว’ ในปัจจุบัน ซึ่งได้ปิดดำเนินการแล้ว และรับแขกเข้าพักชุดสุดท้ายเมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา โดยระบุว่า “น่าใจหายจริง ๆ โรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว ปิดดำเนินการแล้ว รับแขกเข้าพักชุดสุดท้าย เมื่อ 3 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา หลังดำเนินการมายาวนาน ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2535 (เกือบ 33 ปี) ภายหลังจากปิดห้างกาดสวนแก้ว ไปก่อนแล้วเมื่อ 1 ก.ค.65 ขณะนี้ ทั้งห้างฯ และโรงแรม กลายเป็นตึกร้างขนาดใหญ่ ตั้งตระหง่านกลางเมืองเชียงใหม่ (แบงก์กรุงไทยขึ้นป้ายขาย 3,000 ล้าน)เหลือไว้แต่ความทรงจำ ห้างและโรงแรมเก่าแก่คู่เมืองเชียงใหม่ #ห้างกาดสวนแก้ว #โรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว ..จนกว่าจะพบกันใหม่” ทั้งนี้ โรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว เป็นโรงแรมเก่าแก่คู่เมืองเชียงใหม่ ที่เปิดให้บริการมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 และเป็นที่รู้จักกันดีของคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว

Read More

ศาลแขวงปทุมวันได้ออกหมายจับ พ.ต.อ. กฤษณะพงศ์ กัญจน์ชัยกิจ รอง ผบก. กองร้องทุกข์ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หลังไม่ไปพบพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายศาลแขวง 6 (ปทุมวัน) ตามกำหนดนัดเพื่อนำตัวฟ้องต่อศาลฯ คดีนี้ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล ได้แจ้งความไว้ที่ สน.ปทุมวัน หลังจากที่ พ.ต.อ. กฤษณะพงศ์ และพวก นำข้อความอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์และหมิ่นประมาท ก่อนหน้านี้ อัยการสูงสุดมีคำสั่งอนุญาตให้ฟ้อง พ.ต.อ. กฤษณะพงศ์ และพวก ในข้อหาแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน, ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวานหรือยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ และหมิ่นประมาท โดยอัยการได้แจ้งให้ทั้งหมดเข้าพบเพื่อยื่นฟ้องต่อศาล แต่ พ.ต.อ. กฤษณะพงศ์ ไม่มาตามนัด พนักงานสอบสวนจึงยื่นคำร้องขอออกหมายจับ สำหรับ พ.ต.อ. กฤษณะพงศ์ ถือเป็นคู่กรณีกับ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ โดยได้ยื่นหนังสือร้องเรียนหลายข้อหาและหลายสถานที่ รวมถึงเคยร้องเรียนคดีส่วยคาราโอเกะ, การปลอมลายเซ็นรับพระราชทานปริญญา, และกล่าวหาว่า พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กระทำความผิดตามมาตรา 112

Read More

คงไม่ชินไม่อยู่ไทย 17 ปีการเมืองเปลี่ยนแปลง ยอมรับ มีโอกาสเป็นรัฐบาลพรรคเดียว แต่จะอยู่ได้นานหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสภาวการณ์ทางการเมือง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้ตอบโต้คำวิจารณ์ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะขึ้นปราศรัยบนเวทีหาเสียง นายกอบจ. เชียงใหม่ ที่กล่าวว่าการทำงานของ รบ.ชุดนี้ล่าช้าและยากเนื่องจากมีพรรคร่วมหลายพรรค ถ้าจะให้ขับเคลื่อบได้รวดเร็วต้องเลือกพรรคเพื่อไทยเยอะๆ นายอนุทินอธิบายว่าเป็นเรื่องปกติของรัฐบาลผสมที่ต้องแบ่งปันอำนาจ ซึ่งต่างจากสมัยนายทักษิณที่มีพรรคเดียวและเสียงข้างมากที่ทำให้การทำงานรวดเร็ว ในขณะที่ตอนนี้รัฐบาลมีพรรคร่วมมากกว่าและต้องทำงานร่วมกัน นายทักษิณคงอยากให้การทำงานของรัฐบาลเป็นเช่นเดิมเหมือนสมัยที่เป็นนายกรัฐมนตรี กำด้ามไว้หมด แต่วันนี้มันไม่ใช่ ก็ต้องแข่งขันกันทำงาน หากทำงานให้ดีก็อาจจะเกิดเหตุการณ์รัฐบาลพรรคเดียวเกิดขึ้นอีกก็ได้ ซึ่งเราไม่มีปัญหาอะไรก็ว่าไปตามสถานการณ์ นายอนุทินยอมรับว่า นายทักษิณมีโอกาสที่จะกลับมานำรัฐบาลพรรคเดียวสมัยนี้กับเมื่อ 25 ปีก่อน ก่อนที่นายทักษิณจะเป็นนายกรัฐมนตรี ก่อนจะมีพรรคไทยรักไทย จะมีใครเคยคิดว่าประเทศไทยจะมีรัฐบาลพรรคเดียว ซึ่งนายทักษิณก็ทำให้เห็นมาแล้ว “แต่ที่สำคัญคือจะอยู่ได้นานหรือเปล่า” ดังนั้นอะไรที่อยู่ในจุดที่สมดุล อะไรที่ไปด้วยกันแล้วเกิดความสามัคคีปรองดอง ไม่ทำให้เกิดความแตกแยก เอาตัวเลือกนั้นดีกว่า คิดว่าทุกวันนี้รัฐบาลปัจจุบัน ความสัมพันธ์ ความสามัคคี การยอมรับในตัวของนายกรัฐมนตรีก็มีอยู่แล้ว ให้ความร่วมมือกันอย่างเต็มที่อยู่แล้ว ไม่มีอะไรช้า แต่ตอนนี้การตรวจสอบเยอะ และฝ่ายค้านเข้มแข็ง เพราะฉะนั้นการทำงานจะต้องมีความระมัดระวัง จึงต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ด้วย เราอยู่ตรงนี้มา อย่างที่นายทักษิณบอกว่าไม่ได้อยู่ในประเทศไทยมา 17 ปี แต่พวกเราอยู่การเมืองมาโดยตลอด เราจึงมีความรู้สึกชินว่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนตามสภาวการณ์ทางการเมือง แต่นายทักษิณเพิ่งกลับมา อาจจะยังไม่ทันใจ เพราะเป็นคนทำงานเร็ว ตัดสินใจเร็ว อีกสักพักทุกคนก็จะต้องปรับตัว แต่ยังยืนยันว่าปัจจุบันรัฐบาลทำงานได้ดี มีความสามัคคี และให้การสนับสนุนกันอย่างเต็มที่ ไม่พบปัญหาภายในพรรคร่วมรัฐบาล แม้การทำงานต้องระมัดระวังจากการตรวจสอบและฝ่ายค้านที่แข็งแกร่ง

Read More

พบ 5 ชาวจีน ลักลอบข้ามแดน เผย ทำงานที่ จ.เมียวดี เมียนมา ต้องการเดินทางกลับบ้าน จึงได้ข้ามแม่น้ำเมยมาฝั่งไทย ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานคำวานที่ 30 ม.ค. 2567 เวลา 20.30 น. เจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจราชมนูญ กองกำลังนเรศวร พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลาดตระเวนและตรวจพบกลุ่มชายชาวจีน 5 คน ลักลอบข้ามแดนจากเมียนมามายังฝั่งไทย ที่บริเวณบ้านวังแก้ว อ.แม่สอด จ.ตาก โดยทั้ง 5 คนไม่มีเอกสารเดินทางและให้การว่าได้ทำงานที่ จ.เมียวดี ประเทศเมียนมา และต้องการกลับประเทศจีน จึงตัดสินใจข้ามแม่น้ำเมยมายังประเทศไทย ทราบชื่อทั้ง 5 คน Mr.HUANG WEN (29 ปี), Mr.SONG HONG (22 ปี), Mr.LI JIE (21 ปี), Mr.LI HONG (28 ปี) และ Mr.YANG XOING (34 ปี) เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวทั้งหมดส่งไปยังเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก เพื่อประสานสถานทูตจีนให้สอบสวนและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

Read More