- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Author: Writer Publisher
แม้จะยังไม่พบผู้ป่วยเชื้อไวรัส hMPV หรือ เชื้อไวรัสฮิวแมนเมตานิวโม ในประเทศไทย แต่ก็ยังต้องจับตาเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเชื้อไวรัสชนิดนี้ทำให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ ทั้งยังสามารถติดได้ในทุกกลุ่มอายุ ซึ่งมักพบบ่อยในกลุ่มเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันต่ำ โดยไวรัสชนิดนี้สามารถติดต่อผ่านการหายใจเอาละอองน้ำมูก น้ำลายหรือเสมหะของผู้ป่วยผ่านการไอ จาม หรือสัมผัสเชื้อโดยตรง อย่างไรก็ตาม แม้ในไทยจะยังไม่พบการระบาดของเชื้อไวรัสชนิดนี้ เพื่อเป็นการป้องกันจนเองในเบื้องต้น ควรสวมแมสก์ทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน และกินของร้อน ใช้ช้อนกลาง หมั่นล้างมือทุกครั้งก่อนหยิบจับอาหาร เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อร้าย ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ระหว่างลงพื้นที่จังหวัดพังงา ถึงประเด็นร้อนแรงเรื่อง “เอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์” ว่า พรรคประชาธิปัตย์ยังไม่มีการหารือในเรื่องนี้ ต้องรอให้ร่างผ่าน ครม. อย่างชัดเจน และรัฐบาลยืนยันว่าจะเสนอเข้าสภา จึงจะมีการประชุมพรรคเพื่อพิจารณาแนวทางต่อไป นายจุรินทร์ ย้ำถึงความจำเป็นในการทำประชามติ เนื่องจากโครงการนี้ส่งผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองอย่างกว้างขวาง อีกทั้งยังเป็นประเด็นอ่อนไหว ที่ประชาชนมีความเห็นแตกต่างกันอย่างมาก อีกทั้งพรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาลไม่ได้หาเสียงเรื่องนี้ไว้ การทำประชามติจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาล หากประชาชนเห็นด้วยก็ดำเนินการต่อ แต่หากไม่เห็นด้วย รัฐบาลก็ควรยกเลิก ซึ่งสอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย นายจุรินทร์ มองว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้ต่อต้าน “เอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์” แต่ประเด็นหลักอยู่ที่ “กาสิโน” ซึ่งเป็นเรื่องที่ยังมีความเห็นขัดแย้งกันอยู่ ส่วนท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ต่อร่างกฎหมายนี้ ต้องรอพิจารณารายละเอียดของร่าง และหารือกันในพรรคก่อน สำหรับข้อกังวลเรื่องงบประมาณในการทำประชามติ นายจุรินทร์ ชี้แจงว่า คุ้มค่ากับการลงทุน เพราะหากเกิดความเสียหาย โดยเฉพาะปัญหาสังคมและผลกระทบทางเศรษฐกิจ จะมากกว่างบประมาณที่ใช้ในการทำประชามติหลายเท่า “การทำประชามติเป็นทางออกที่ดี เพื่อหาข้อยุติ และเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในเรื่องสำคัญ” นายจุรินทร์ กล่าวทิ้งท้าย ก่อนหน้านี้นายทักษิณ ชินวัตร บิดานายกฯ ระบุเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องทำประชามติ ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ นักกฎหมาย กล่าวถึงกรณีที่มีการระบุตัวเลขจ่ายชดเชยกรณีคืนที่สนามกอล์ฟอัลไพน์ไปเป็นที่ธรณีสงฆ์อาจสูงถึง 7.7 พันล้านบาท กับ The Publisher ว่า ปกติจะไม่ชดเชยในราคาปัจจุบัน แต่จะย้อนกลับไปสู่สถานภาพเดิมคือตอนที่ซื้อมาในราคาเท่าไหร่ ไม่ใช่จะได้ตามวาดหวังไว้ว่าจะได้หลายพันล้านบาท เป็นวิธีคิดของนายทักษิณ ชินวัตร ที่มักคิดถึงกำไรไปเรื่อย สมมติซื้อมา 500 ล้านบาท แล้วถูกเพิกถอนจะได้รับคืน 500 ล้านบาท ก็ไม่น่าจะถึงด้วยซ้ำ เพราะต้องดูความประมาทของเขาด้วยว่า ตอนที่ซื้อมีความประมาทหรือไม่ ใช้ความระแวดระวังเหมือนวิญญูชนพึงปฏิบัติหรือไม่ “ผมคิดว่าผู้ซื้อเองคือคุณทักษิณและครอบครัวมีความประมาทในการซื้ออยู่ด้วย เพราะตอนนั้นก็เริ่มมีการเตือนกันแล้วว่า ที่ดังกล่าวมีความผิดปกติ ผมยืนยัน 100 % ว่านายทักษิณฝันกลางวันที่จะได้รับการชดเชยในราคาที่ดินปัจจุบัน ส่วนผู้ที่ซื้อโดยสุจริตจริงคือคนที่ไปซื้อจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ คนเหล่านี้ต้องไปฟ้องร้องเรียกค่าชดเชยจากนายทักษิณที่เป็นเจ้าของ ไม่ใช่เรียกร้องจากรัฐ เนื่องจากรัฐไม่ใช่คู่กรณี ส่วนนายทักษิณ ก็ไปไล่เบี้ยฟ้องกรมที่ดิน แต่เชื่อเถอะว่าไม่ได้ราคาปัจจุบันตามที่คิดไว้” นายนิพิฏฐ์ ยังยกตัวอย่างว่าเคยทำคดีที่ดินเกาะในจังหวัดหนึ่ง ที่เจ้าของซื้อมาและครอบครองนานเกือบ 60 ปี จนกระทั่งต่อมามีคนร้องว่าที่ดินนี้ออกโฉนดโดยไม่ชอบ ก็ถูกเพิกถอนไป ทำให้สูญเสียเกาะทั้งเกาะซึ่งราคาท้องตลาดราว 5-6 พันล้าน เขาก็ฟ้องกรมที่ดินที่เป็นผู้ออกโฉนด แต่ได้ชดเชยจริงในราคาเดิมที่ซื้อไปคือกว่า 10 ล้านบาท “กรณีนี้เปรียบเทียบได้กับกรณีอัลไพน์ของนายทักษิณ อย่าไปฝันหวานว่าจะค้าที่ดินวัดอีก ผมเตือนไว้ก่อน ถ้าจะเอาที่ดินวัดมาทำกำไร ระวังจะมีคนติดคุกภาค 2 อย่าไปคิดอย่างนั้นเลย กรมที่ดินระวังถ้าไปใช้ในตัวเลข 7.7 พันล้านบาท โดนแน่ ไม่มีใครเขาทำ เรื่องนี้คงต้องขึ้นศาลปกครองอีก เว้นแต่อธิบดีกรมที่ดินกินดีหมีสั่งจ่ายเงินเลย ซึ่งก็ต้องเข้าสภาฯ ต้องถามว่าสภาฯ จะยอมหรือไม่ แต่ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันเพราะสภาฯ ยุคนี้ก็ไม่ได้คัดค้านกันจริงจัง เพราะรอร่วมรัฐบาลกันทั้งนั้น” ส่วนการคืนที่ธรณีสงฆ์แล้วจะส่งผลต่อการพิจารณาของ ป.ป.ช. ปมน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ถูกร้องผิดจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่นั้น นายนิพิฏฐ์ มองว่า ไม่น่าจะเกี่ยวกัน เพราะการครอบครองที่ดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเกิดขึ้นสำเร็จไปตั้งแต่รับรู้คำพิพากษาศาลฎีกาว่าเป็นที่ธรณีสงฆ์แล้ว ต้องหาวิธีคืนที่กลับไป แต่หลังจากนั้นยังมีการพัฒนาที่ดินต่อเนื่อง เพราะคิดว่าไม่มีใครทำอะไรได้ ภาษาบ้านตนเรียกว่า ใครครอบครองที่ดินวัด กลากจะขึ้นหัว เพราะมันเป็นบาป แต่คนบางคนไม่เชื่อเรื่องบุญ เรื่องบาป เพราะอยู่เหนือบุญเหนือบาป “จริยธรรมใช้ได้กับบางคน เพราะบางคนไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่เมื่อศาลฯ ตัดสินแล้ว ถามว่าใครจะกล้าครอบครอง ต้องระดมนักกฎหมายเพื่อทำให้ถูกต้องบอกเลิกนิติกรรมให้กลับไปสู่สถานภาพเดิม…
มหากาพย์ที่ดินอัลไพน์ พัวพัน “ทักษิณ-ชินวัตร” สะท้อนปัญหาความไม่เด็ดขาดของภาครัฐ เอื้อประโยชน์คนมีอำนาจ จน “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” ขณะดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้มีคำสั่ง “ยกอุทธรณ์” ให้ที่ดินอัลไพน์ กลับไปเป็นของเอกชน ซึ่งขัดต่อกฎหมาย และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับ “ทักษิณ” เพราะทั้งหมดเกิดขึ้นในวันที่ 5 มีนาคม 2545 ยุคที่ทักษิณ เจ้าของสนามกอล์ฟอัลไพน์ เป็นนายกรัฐมนตรี สุดท้าย “ยงยุทธ” ต้องโทษจำคุกสองปี ขณะที่เรื่องราวยืดเยื้อยาวนานถึง 23 ปี ปลัดกระทรวงมหาดไทยเพิ่งมีคำสั่งเพิ่งมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งเดิมของ “ยงยุทธ” คืนกลับไปเป็นที่ธรณีสงฆ์ การสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินอัลไพน์ แม้จะเป็นการคืนความเป็นธรรมให้กับนางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา เจ้าของที่ดินที่ทำพินัยกรรมให้วัดธรรมิการามวรวิหาร และทำให้การบังคับใช้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ ไม่ถูกบิดเบือนจากอำนาจทางการเมืองแล้วก็จริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัญหายืดเยื้อนี้ ได้สร้างบาดแผลฉกรรจ์ให้กับระบบการจัดการที่ดินของประเทศ และพัวพันกับ “ตระกูลชินวัตร” มาอย่างยาวนาน ที่ดินผืนนี้ เดิมเป็นของนางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา ซึ่งได้ทำพินัยกรรมยกให้วัดธรรมิการามวรวิหาร แต่กลับมีการออกโฉนดโดยมิชอบ ที่มีการกล่าวหาว่าพัวพันไปถึงนายเสนาะ เทียนทอง ขณะดำรงตำแหน่ง รมช.มหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่ รมว.มหาดไทย ใช้อำนาจข่มขืนใจให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานี จดทะเบียนซื้อขายที่ดินดังกล่าวให้กับบริษัทอัลไพน์ เรียลเอสเตท จำกัด และบริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคับ จำกัด ที่ภรรยาและน้องชายเป็นผู้ถือหุ้น แต่ศาลฎีกาฯ ยกฟ้อง เนื่องจากป.ป.ช.นำตัวนายเสนาะไปส่งศาลไม่ทันทำให้คดีขาดอายุความ ความเป็นมาของที่ดินดังกล่าวมีการขายในราคา 130 ล้านบาทและโอนให้บริษัท อัลไพน์ เรียลเอสเตท จำกัด และบริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ ในปี 2533 จากนั้นในปี 2540 ขายต่อให้คุณหญิงพจมาน ภรรยา พ.ต.ท. ทักษิณ (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) ก่อนที่ “ทักษิณ” เข้ากุมอำนาจทางการเมืองในช่วงปี 2544 และในปี 2545 “ยงยุทธ” ในฐานะรองปลัดกระทรวงมหาดไทย และรักษาราชการแทนปลัดมหาดไทย ได้ออกคำสั่งเพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน…
นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน ยืนยันไม่กังวลใจหลังจากนายชํานาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงนามเพิกถอนที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ คืนธรณีสงฆ์ โดยระบุว่าขณะนี้ยังไม่เห็นเอกสาร คาดว่าจะได้รับภายใน 1-2 วันนี้ หลังจากนี้ กรมที่ดินจะดำเนินการตามขั้นตอนคำสั่งยกเลิกเพิกถอน โดยจะแจ้งให้ผู้ถือครองที่ดินเดิมซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรับทราบคำสั่งเพิกถอนดังกล่าว ส่วนผู้ได้รับผลกระทบจะดำเนินการอย่างไรต่อไปนั้นถือเป็นสิทธิ์ สำหรับประเด็นค่าชดเชย นายพรพจน์ กล่าวว่า ต้องพิจารณาตามข้อเท็จจริงและคำตัดสินของศาล ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลานานกว่า 1 ปี เนื่องจากรายละเอียดและหลักฐานมีจำนวนมาก ส่วนงบประมาณค่าชดเชยที่อาจสูงถึง 7.7 พันล้านบาทนั้น อธิบดีกรมที่ดิน ระบุว่า กรมฯ ไม่ได้ตั้งงบประมาณไว้รองรับ หากศาลตัดสินให้ชดเชยจริง อาจต้องขอจัดสรรในงบประมาณประจำปี นายพรพจน์ ยืนยันว่า กรมที่ดินไม่กังวลกับเรื่องนี้ เพราะได้นำเสนอเรื่องนี้มาเกือบ 20 ปีแล้ว และทราบขั้นตอนการดำเนินการตามกฎหมายเป็นอย่างดี พร้อมยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นการเมืองหรือกรณีเขากระโดง ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กำชับให้กรมที่ดินดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายอย่างเคร่งครัด แม้ประเด็นนี้อาจกลายเป็น “เผือกร้อน” ทางการเมือง แต่อธิบดีกรมที่ดินยืนยันว่าจะดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา
นันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรอง ผอ.สำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก จวกการทำงาน กกต. ปล่อยเบลอ ไม่จัดการอะไรสักอย่าง หลังมีผู้ช่วยหาเสียงผู้สมัครนายก อบจ. ท่านหนึ่งขึ้นช่วยหาเสียง แล้วมีการพูดอ้างไปถึงเบื้องสูง โดยระบุข้อความ “เกินเบอร์ไปไหม การที่ผู้สมัครนายก อบจ.ยอมให้ผู้ช่วยหาเสียง ที่รับเบี้ยเลี้ยงวันละไม่กี่บาท ยืนเดี่ยวไมโครโฟน ให้ตัวผู้สมัครยืนเป็นไม้ประดับ ปากอมตุ่ย ประกาศสำคัญ การแอบอ้างเบื้องสูงมาหาเสียงทำได้หรือไม่ หากทำได้ไม่ผิด ถ้า กกต.ว่า ไม่ผิด ทำได้” “ต่อแต่นี้ไป หาก กกต.ไม่ทำอะไร ปล่อยผ่าน การแอบอ้างเบื้องสูง การดึงสถาบันมาเกี่ยวข้องกับการเมืองจะกลายเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ผิด หาก กกต.ไม่เทคแอ๊คชั่นยุบไปเถอะ เปลืองเงิน เปลืองงบ” ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/
หลังจาก นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย มีหนังสือถึงปลัดกระทรวงฯ ให้พิจารณาเพิกถอนคำสั่งเดิมกรณีที่ดินอัลไพน์ ล่าสุด มีรายงานว่า นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย. ได้ลงนามคำสั่งเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์เดิมของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย และสั่งเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินอัลไพน์ โดยส่งเรื่องให้กรมที่ดินดำเนินการต่อแล้ว สำหรับขั้นตอนต่อไป กรมที่ดินจะดำเนินการดังนี้ แจ้งวัดธรรมิการามวรวิหาร ซึ่งเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน พร้อมแจ้งสิทธิในการฟ้องคดีปกครอง แจ้งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ แจ้งสำนักงาน ป.ป.ช. โดยการดำเนินการกับที่ดิน มี 3 แนวทาง คือ วัดให้เจ้าของที่ดินเดิมเช่า วัดขอออกหนังสือรับรองทรัพย์อิงสิทธิ วัดโอนที่ดินโดยตราเป็น พ.ร.บ. ส่วนการดำเนินการกับสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน มี 2 แนวทาง คือ วัดชดใช้ราคาให้กับเจ้าของเดิม เจ้าของเดิมรื้อถอน และเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการมีรายงานว่า ก่อนหน้านี้กรมที่ดิน ได้เคยประเมินค่าเสียหายที่อาจเกิดขึ้นโดยข้อมูลหน้าที่ 2 กันยายน 2567 ไว้ว่ามูลค่าตามราคาตลาดโดยการประมาณและทุนทรัพย์จำนองอยู่ที่ 7.7 พันล้านบาท
ธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน ออกโรงเตือน เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ อาจเป็นแค่ภาพลวงตาความหรูหรา ที่ซ่อนปัญหาผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมไว้มากมาย ชี้โครงการขนาดใหญ่มักเอื้อประโยชน์กลุ่มทุน ขณะที่ประชาชนได้เพียง “เศษเนื้อข้างเขียง” แถมยังเสี่ยงปัญหาสังคม ทั้งการแก่งแย่งผลประโยชน์ การท่องเที่ยวเชิงทำลาย และอาชญากรรม ยิ่งไปกว่านั้น การมีกาสิโนเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงปัญหาการพนัน ซึ่งเป็น “การพนันชนิดเข้ม” ที่ทำให้คนหมดตัวได้ง่าย แถมยังเป็นช่องทางฟอกเงินชั้นดีของเหล่าอาชญากร อีกทั้งเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ อาจไม่ได้สร้างงานมากอย่างที่คาดหวัง และผลประโยชน์ตกอยู่กับกลุ่มทุน รัฐบาลควรฟังเสียงประชาชน และทำตามสัญญาที่ให้ไว้ ธนากร ยังวิจารณ์รัฐบาลว่า เร่ง “ปิดจ็อบ” โครงการนี้ ทั้งที่สวนทางความรู้สึกของประชาชน เสนอแนะให้รัฐบาลรับฟังเสียงประชาชน ทำสิ่งที่ควรทำ และทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน จะช่วยคลายความกังวลใจของสังคมได้ ที่มา ธนากร คมกฤส
ยอดพุ่งต่อเนื่อง หลัง ครม.ไฟเขียวผลักดันร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือ Entertainment Complex ทำให้เกิดกระแสความกังวล และไม่เห็นด้วยจนเกิดการรณรงค์ “เราไม่เอากาสิโน” ตั้งแต่วันอังคารที่ผ่านมา ซึ่งจนถึงวันนี้ (20 ม.ค.68) ล่าสุดมีผู้ร่วมลงชื่อคัดค้านทะลุ 56,000 รายชื่อแล้ว! หากคุณไม่เห็นด้วยกับการมีกาสิโนถูกกฎหมายในประเทศไทย สามารถลงชื่อแสดงจุดยืนว่า “เราไม่เอากาสิโน” ได้ที่ https://forms.gle/PBBBYki6Lbcb4HZh9 ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/
หลังจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศนโยบายลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.70 บาทต่อหน่วย ซึ่งรัฐบาลรับลูกเตรียมดำเนินการให้สำเร็จภายในปี 2568 ล่าสุด ส.อ.ท. ชู 4 แนวทางลดค่าไฟฟ้า มั่นใจกดราคาได้ต่ำกว่า 3.70 บาทต่อหน่วยทันทีในปีนี้ นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เสนอมุมมองการบริหารทางเศรษฐกิจ โดยชี้ว่าโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (ประเภทไม่มีเชื้อเพลิง) แม้หมดสัญญาก็ยังผลิตไฟฟ้าได้ จึงควรเจรจาปรับลดค่าไฟฟ้า ดังนี้ โรงไฟฟ้าคืนทุนแล้ว: ทบทวนราคาใหม่ คิดตามต้นทุนจริง (ค่าซ่อมแซม ค่าบำรุงรักษา) แต่ไม่เกินราคาโรงไฟฟ้าพลังงานผันแปรใหม่โรงไฟฟ้ายังไม่หมดสัญญา: ทบทวนราคาค่าไฟฟ้าที่ไม่มี adder ให้เป็นไปตามราคาโรงไฟฟ้าใหม่ รัฐบาลอาจยืดระยะเวลาสัญญาเป็นการชดเชยโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP): เจรจาปรับลดค่าพร้อมจ่าย (AP) โดยรัฐบาลอาจขยายระยะเวลาสัญญาให้ค่าผ่านท่อแก๊ส NG: คืนทุนแล้วควรปรับลดราคาลงมาให้เหมาะสม นายอิศเรศ มั่นใจว่า หากภาครัฐดำเนินการตามแนวทางนี้ ค่าไฟฟ้าจะลดลงต่ำกว่า 3.70 บาทต่อหน่วยได้ทันทีในปีนี้ ก่อนหน้านี้ สำนักงาน กกพ. เสนอแนวทางลดค่าไฟฟ้าทันที 17 สตางค์ต่อหน่วย โดยให้ทบทวนและปรับปรุงเงื่อนไขการสนับสนุน Adder และ Feed in Tariff (FiT) เพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง
