Author: Writer Publisher

เป็นหนังสือทวงถามข้อเรียกร้องให้เพิกถอน MOU 2544 และ JC 2544 ที่ยื่นถึงนายกรัฐมนตรี หลังครบ 15 วันที่ได้ขีดเส้นไว้ เนื่องจากดำเนินการไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และขัดพระบรมราชโองการฯ ฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย สุ่มเสี่ยงต่อสูญเสียเอกราช อธิปไตย สิทธิอธิปไตย และบูรณภาพแห่งทะเลอาณาเขต เขตต่อเนื่อง และเขตไหล่ทวีปของราชอาณาจักรไทย โดยในหนังสือไล่เรียงถึงการที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และประชาชนได้ยื่นหนังสือขอให้หยุดเดินหน้าเรื่องดังกล่าว และขอให้คณะรัฐมนตรีส่ง MOU 2544 และ JC 2544 ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ พร้อมกับให้คณะรัฐมนตรีเจรจากับกัมพูชาเพื่อยกเลิก MOU 2544 และ JC 2544 ระงับการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมทางเทคนิคไว้ก่อนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย รวมถึงขอให้จัดเวทีสาธารณะอย่างเป็นกลางเพื่อสร้างความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมของประชาชนในเรื่องนี้ ทั้งนี้เมื่อครบ 15 วัน นายกฯ และคณะรัฐมนตรียังไม่ได้แจ้งผลการดำเนินการ ถือว่าจงใจละเลยต่อหน้าที่ดังกล่าว หากนายกฯ และคณะรัฐมนตรี ยังคงนิ่งเฉยต่อข้อเรียกร้องจนอาจทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียเอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งทะเลอาณาเขต เขตต่อเนื่อง และเขตไหล่ทวีปซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย จะถือว่าได้กระทำการอันเป็นการตระเตรียมหรือสนับสนุนการกระทำความผิดทำให้ราชอาณาจักรไทย หรือบางส่วนต้องไปอยู่ในอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ หรือเพื่อให้เอกราชของรัฐเสื่อมเสียไป รวมทั้งตระเตรียมการเพื่อคบคิดกับผู้นำของประเทศกัมพูชาด้วยความประสงค์ที่จะเป็นปรปักษ์ต่อรัฐ ทำให้รัฐได้รับความเสียหาย อันอาจเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119 และมาตรา 120 ซึ่งจะมีการดำเนินการตามกฎหมายและที่เห็นสมควรเพื่อปกป้องอธิปไตยและสิทธิอธิปไตยของราชอาณาจักรไทยต่อไป โดยวันนี้นายสนธิ และนายปานเทพ รวมถึงประชาชนส่วนหนึ่งไปติดตามทวงถามกรณีดังกล่าวที่หน้าทำเนียบรัฐบาลอีกด้วย

Read More

หลังครม.มีมติ เมื่อวันที่ 29 พ.ย.67 เพิ่มเงินช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ทั้งผู้สูงอายุ คนพิการ และเด็กเล็ก มีการคาดการณ์ว่าเงินอัตราใหม่จะเริ่มได้รับกันในช่วงต้นปีงบประมาณ 2569 หรือวันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป โดยหลักเกณฑ์ที่ปรับใหม่มีรายละเอียด ดังนี้ ผู้สูงอายุ รับเงินเพิ่มขึ้นแบบขั้นบันไดเพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพในปัจจุบัน รัฐบาลปรับเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ดังนี้ อายุ 60-69 ปี รับเดือนละ 700 บาท (จากเดิม 600 บาท) อายุ 70-79 ปี รับเดือนละ 850 บาท (จากเดิม 700 บาท) อายุ 80-89 ปี รับเดือนละ 1,000 บาท (จากเดิม 800 บาท) อายุ 90 ปีขึ้นไป รับเดือนละ 1,250 บาท (จากเดิม 1,000 บาท) คนพิการ รับ 1,000 บาท ทุกคน รัฐบาลปรับเบี้ยความพิการให้ทุกคนได้รับ 1,000 บาทเท่ากันหมด คนพิการที่ไม่มีบัตรประจำตัวคนพิการก็สามารถเข้าถึงสิทธิได้ ส่งเสริมการจ้างงานคนพิการและสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิต เงินอุดหนุนบุตร แบบถ้วนหน้า ไม่ต้องคัดกรองรายได้ ทุกครอบครัวได้รับเงินอุดหนุนบุตรแบบถ้วนหน้า ยกเลิกเงื่อนไขรายได้ครัวเรือน (เดิมกำหนดให้มีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาท/คน/ปี) พัฒนาหลักสูตรการศึกษาและการเรียนการสอนให้มีคุณภาพมากขึ้น

Read More

นายเชาว์ มีขวด ทนายความ โพสต์ Facebook Chao Meekhuad เรื่องต้องดำเนินคดีกับ 4 กรรมการคัดเลือก หนุน ”กิตติรัตน์“ ทั้งที่ขาดคุณสมบัติ มีเนื้อหาระบุว่า ตามที่มีการยืนยันจากทางกฤษฎีกา ว่านายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ไม่ผ่านคุณสมบัติ ดำรงตำแหน่งประธานบอร์ดแบงค์ชาติตามที่ได้ ลงมติ เสนอชื่อ นายกิตติรัตน์ ซึ่งทำให้ต้องมีการสรรหาประธานคณะกรรมการและกรรมการของแบงก์ชาติกันใหม่ มีปัญหาว่ากรรมการสรรหา ที่ลงมติเลือกนายกิตติรัตน์ยังมีความชอบธรรมที่จะ ทำหน้าที่อีกต่อไปหรือไม่ ในฐานะที่ผมเป็นคนออกมาเปิดประเด็นในเรื่องนี้จนนำไปสู่การส่งเรื่องให้กฤษฎีกาตีความ ผมเห็นว่ากรรมการคัดเลือกทั้ง 4 คน ที่ลงมติเลือกนายกิตติรัตน์ ในทางกฎหมายถือว่าได้กระทำความผิดสำเร็จแล้ว และขาดความน่าเชื่อถือจากสังคมไปแล้ว ที่ดันทุรังเสนอชื่อนายกิตติรัตน์ จึงไม่สมควรที่จะทำหน้าที่กรรมการสรรหาอีกต่อไปเพราะท่านหมดความชอบธรรมแล้ว โดยเฉพาะการคัดเลือกประธานและกรรมการแบงค์ชาติเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญที่จะต้องสร้างความเชื่อมั่นในสายตาโลก “ไม่เพียงกรรมการสี่คนนี้ต้องพ้นหน้าที่ไป ยังควรมีการดำเนินคดีทางกฎหมายกับคนเหล่านี้ด้วย เพราะถือว่าดื้อแพ่งไม่ฟังเสียงทักท้วง ดึงดันที่จะเสนอชื่อนายกิตติรัตน์ ตามใบสั่งทางการเมืองให้ได้ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีตัวอย่างของคนที่รับใช้ระบบทักษิณ ยอมเอาตัวเข้าเสี่ยงเพื่อแลกกับลาภยศ ตำแหน่ง แต่สุดท้าย จบที่ คุกทุกราย พวกท่านก็ทำใจรอไว้ด้วย” นายเชาว์ ระบุทิ้งท้าย

Read More

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน แถลงเรียกร้องให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ในฐานะเป็นประธาน กพช. ให้ยกเลิกรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ โดยมีการนำโพสต์เดิมของพรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2566 ซึ่งอยู่ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง มีเนื้อหาระบุถึงปัญหาค่าไฟฟ้าแพง ประจานความล้มเหลวรัฐบาพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะไฟฟ้าล้นจากเศรษฐกิจขยายตัวต่ำ แต่ให้ใบอนุญาตเพิ่ม 5,200 เมกะวัตต์ มั่นใจพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลลดค่าไฟฟ้า น้ำมัน และก๊าซหุงต้ม พร้อมปรับโครงสร้างพลังงานทั้งระบบ สะท้อนจุดยืนว่าพรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้ แต่กลับเดินหน้าซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนอีก 3,600 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นแผนสืบเนื่องจากการซื้อไฟฟ้า 5,200 เมกะวัตต์ในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธโดยตรง โดยกพช.เป็นผู้กำหนดวิธีรับซื้อโดยวิธีคัดเลือก การรับซื้อล็อกล่วงหน้าถึงแปดปี คือ 2565-2573 ไม่มีการแข่งขัน ทำให้คนไทยต้องจ่ายค่าไฟฟ้าแพงขึ้นในอีก 25 ปีข้างหน้า “นายกฯ และรัฐบาลกำลังปัดความรับผิดชอบ อ้างว่าไม่มีอำนาจเต็มในเรื่องนี้ ทั้ง ๆ ที่มีอำนาจสามารถยับยั้งได้ เพราะโครงการริเริ่มใน กพช.ยุครัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องยกเลิกโดยนโยบายของรัฐบาลแพทองธาร ซึ่งมีเส้นตายภายในวันที่ 30 ธ.ค. 67 ถ้าไม่ยกเลิกก็จะไม่สามารถยกเลิกได้อีก เพราะตามระเบียบการรับซื้อกำหนดว่า กกพ. ขอสงวนสิทธิในการเปลี่ยนแปลงก่อนการลงนามในสัญญา แปลว่ายกเลิกได้ตราบที่ยังไม่มีการลงนาม ดังนั้นระหว่างนี้จึงสามารถยกเลิกได้จากการเปลี่ยนแปลงแนวนโยบายแห่งรัฐ ซึ่งกพช.เป็นคนกำหนดนโยบาย ถ้านายกฯ จะอ้างว่าไม่สามารถกุมสภาพเสียงข้างมากใน กพช.ได้ ก็ต้องยุบสภา เพราะ 14 ใน 19 ของกพช. คือ ครม.ที่นายกฯ ตั้ง ถ้านายกฯ ประสงค์จะยกเลิกย่อมทำได้ แต่ถ้าไม่ได้ เพราะกุมสภาพเสียงข้างมากไม่ได้ ก็แสดงว่าคุม ครม.ไม่ได้ ต้องยุบสภา“ นายณัฐพงษ์ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลมีทางเลือกทำให้ถูกกว่านี้ได้ แต่กลับไม่ทำ เพราะการรับซื้อไฟครั้งนี้ผูกสัญญาสัมปทานนานถึง 25 ปี ใช้วิธีคัดเลือก อาจส่งผลกระทบให้ประชาชนจ่ายค่าไฟแฟงถึงแสนล้านบาทตลอด 25 ปี ทางเลือกที่ดีกว่าคือการเพิ่มโควตาการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงที่เรียกว่า ไดเร็ก พีพีเอ จาก 2,000 เมกะวัตต์…

Read More

รศ.ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ ครม.พรรคร่วมรัฐบาลต้องยับยั้ง ทักษิณ-เพื่อไทย ลุยไฟตั้ง “กิตติรัตน์” ประธานแบงก์ชาติ เนื้อหาระบุว่า ต้นมกราคมนี้ คณะรัฐมนตรีจะนำรายชื่อนายกิตติรัตน์ ณ.ระนอง เข้าพิจารณาเพื่อมีมติอนุมัติหรือไม่อนุมัติให้นำรายชื่อขึ้นทูลเกล้า เพื่อลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งเป็นประธานบอร์ดแบงค์ชาติ ในฐานะนักวิชาการที่ติดตามในเรื่องนี้มาแต่ต้น ขอแสดงความห่วงใยมายังพรรคร่วมรัฐบาล ที่ต้องรับผิดชอบในมติดังกล่าวดังต่อไปนี้ ⚫️ด้านคุณสมบัติ ตามพระราชบัญญัติของธนาคารแห่งประเทศไทย นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง แม้จะได้ลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทย ออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แล้ว แต่ทุกคนก็รู้ได้ว่านายกิตติรัตน์มีความสัมพันธ์ทางการเมืองอย่างแนบแน่นกับพรรคเพื่อไทย และที่จำต้องออกจากตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีไปพร้อมกับนายเศรษฐา ทวีสิน ก็เพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายกฯต้องพ้นจากตำแหน่ง นายกิตติรัตน์จึงต้องพ้นจากการดำรงตำแหน่งทางการเมือง และนับถึงปัจจุบันก็ยังไม่ครบหนึ่งปีตามกฏหมายกำหนด ตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เป็นการดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างแน่นอน เพราะเข้ารับตำแหน่งตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี และพ้นจากตำแหน่งไปตามวาระของนายกรัฐมนตรี อีกทั้งยังมีอำนาจตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีให้เรียกข้าราชการและข้อมูลทางราชการได้ ได้รับค่าตอบแทนเบี้ยประชุมและมีอิทธิพลต่อนโยบายสั่งการของนายกรัฐมนตรี การตีความว่าตำแหน่งใดจะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะต้องพิจารณาจากเจตนารมย์ของพระราชบัญญัติแต่ละฉบับที่ระบุ จะใช้การตีความโดยทั่วไปหรืออ้างการตีความของพระราชบัญญัติอื่นไม่ได้ ดังนั้นกรณีนี้จะต้องพิจารณาจากเจตนารมย์ของพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งไม่ต้องการให้พรรคการเมืองและนักการเมืองเข้าครอบงำธนาคารแห่งประเทศไทยที่ควรเป็นอิสระในการกำหนดนโยบายและดำเนินมาตรการทางการเงิน ตามมาตรฐานสากลในอารยะประเทศ เพราะมิฉะนั้นจะเกิดผลเสียแก่ประเทศอย่างมากและยากที่จะเยียวยา ⚫️ด้านผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยประเทศไทย กลุ่มเศรษฐศาสตร์เพื่อสังคมได้เคยระบุไว้ในแถลงการณ์มาแล้วว่า ตำแหน่งประธานและกรรมการธนาคารแห่งชาติ (บอร์ดแบงก์ชาติ) เป็นตำแหน่งที่มีอำนาจและอิทธิพลต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ เพราะมีความเชื่อมโยงกับการแต่งตั้งผู้กำหนดนโยบายทางการเงิน นโยบายกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ และมีบทบาททางตรงในการบริหารเงินสำรองระหว่างประเทศ แม้ว่าประธานและคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยจะไม่ได้กำหนดนโยบายดอกเบี้ยโดยตรง ไม่ได้มีหน้าที่กำกับการแทรกแซงค่าเงินบาทโดยตรง แต่ก็อาจรู้ล่วงหน้าว่าแบงก์ชาติจะปรับดอกเบี้ยขึ้นหรือลง หรือจะเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทเมื่อใด เพราะอาจส่งคนของตนเข้าไปเป็นคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการเงิน ข้อมูลล่วงหน้าเหล่านี้สามารถนำไปใช้เก็งกำไรในตลาดการเงินหรือการลงทุนได้ เช่นทำการซื้อหรือขายหุ้นล่วงหน้า (insider trading) หรือในกรณีการแทรกแซงค่าเงินบาทนั้นหากรู้ก่อนก็สามารถหาประโยชน์ได้มหาศาล ตัวอย่างในประเทศไทยเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 ที่มีข้อกังขาว่านักการเมืองในระบอบทักษิณและกลุ่มพวกพ้องได้ใช้ข้อมูลที่รู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับการลดค่าเงินบาท เปลี่ยนเงินบาทของตนเป็นดอลลาร์ล่วงหน้า สร้างกำไรให้ตัวเอง ขณะที่เศรษฐกิจทั้งประเทศเผชิญความเสียหายรุนแรง ประชาชนต้องแบกรับภาระหนักจากการล่มสลายของระบบการเงิน หากนโยบายการเงินถูกแทรกแซงให้สนองนโยบายทางการเมืองเป็นหลัก ก็จะเกิดผลเสียตามมามากมาย ตัวอย่างเช่น การลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แม้จะช่วยเพิ่มการจับจ่ายใช้สอยในช่วงแรก แต่ในระยะยาวกลับสร้างปัญหาใหม่ เช่น หนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือการเพิ่มอัตราเงินเฟ้อจนค่าครองชีพสูงขึ้น ตัวอย่างในกรณีของประเทศอาร์เจนตินา หลายครั้งที่รัฐบาลกดดันให้ธนาคารกลางลดดอกเบี้ยและปล่อยให้เงินเฟ้อพุ่งสูง ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว ในส่วนการแทรกแซงค่าเงินบาทนั้น นักการเมืองมักจะชอบสร้างภาพผลงานที่เกินจริง หรือปกปิดผลกระทบเชิงลบจากการทำนโยบาย เพื่อให้ได้การยอมรับและเสียงสนับสนุนจากประชาชนเช่น อ้างว่าได้ทำการสั่งแบงก์ชาติแทรกแซงเงินบาทเพื่อดันเป้าส่งออกไทยโต 15% ประวัติในอดีตของผู้ที่ได้รับการคัดเลือกในครั้งนี้ให้เป็นประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย เขาเคยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เคยพูดเท็จเพื่อหวังผลทางการเมืองมาแล้ว และอ้างว่าเป็นการโกหกด้วยเจตนาดี หรือ”โกหกสีขาว” ซึ่งส่งผลเสียต่อความน่าเชื่อถือไม่เพียงของรัฐบาลแต่กระทบถึงความน่าเชื่อถือของธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย ถ้ากลุ่มการเมืองมีอำนาจเหนือธนาคารแห่งประเทศไทย อาจสั่งหรือกดดันให้แบงก์ชาติรับซื้อพันธบัตรรัฐบาลในตลาดแรกเพื่อให้รัฐบาลกู้เงินได้ง่ายขึ้น (monetary financing)…

Read More

The Publisher ได้รับข้อมูลว่า ตอนนี้ 7 นักโทษคดีโกงจีทูจี ในโครงการรับจำนำข้าว ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ทั้ง 7 คนประกอบด้วย นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ โทษจำคุก 48 ปี นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ โทษจำคุก 36 ปี นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ โทษจำคุก 40 ปี นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ โทษจำคุก 32 ปี น.ส.รัตนา แซ่งเฮ้ง โทษจำคุก 16 ปี นายอภิชาติ หรือ เสี่ยเปี๋ยง จันทร์สกุลพร โทษจำคุก 48 คดี และนายนิมล หรือ โจ รักดี โทษจำคุก 32 ปี โดยทั้งหมดได้รับการเลื่อนชั้นนักโทษแบบรัว ๆ ภายในปี 2563 ปีเดียว เลื่อนจากชั้นกลางเป็นชั้นดี ชั้นดีมาก และชั้นเยี่ยม เกิดคำถามมีกระบวนการวิ่งเต้น หรือช่องว่างในการหาประโยชน์เกิดขึ้นในกระบวนการนี้หรือไม่ จึงทำให้มีการเลื่อนชั้นได้รวดเร็วกว่านักโทษปกติ ไม่เพียงเท่านั้นกรณีของนายบุญทรง และนายภูมิ ยังถูกบันทึกไว้ว่าไม่ได้อยู่ที่เรือนจำ แต่สถานที่จำคุกกลับเป็นโรงพยาบาลราชทัณฑ์ด้วย นอกจากนี้นักโทษทั้ง 7 คนในคดีโกงจีทูจียังได้รับการอภัยโทษแบบรัว ๆ อีกด้วย โดยในส่วนของนายบุญทรง และนายภูมิ ได้รับการอภัยโทษ 4 ครั้ง ปี 2563 1 ครั้ง และปี 2564 รวม 3 ครั้ง ขณะที่นายมนัส ก็ได้รับการอภัยโทษ 4 ครั้ง ปี 2563 2 ครั้ง และปี 2564…

Read More

นายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT รวบรวม 10 กรณีคอร์รัปชันแห่งปี 2567 ที่สั่นสะเทือนการเมือง และสังคมไทย รวมถึงสร้างความสงสัยกับคนไทยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร โดย 10 กรณีเป็นคดีดังทั้งสิ้นเริ่มจาก กรณีลดโทษ พักโทษ มอบอภิสิทธิ์ให้นักโทษคดีโกงชาติ โดยยกตัวอย่างนักโทษชั้น 14 ที่ไม่เคยนอนเรือนจำ และนักโทษคดีจำนำข้าวที่ได้อิสระเร็วเกินคาด ซึ่งนายมานะมองว่าการลดโทษ พักโทษ มอบอภิสิทธิ์นี้คือ “โกงซ้อนโกง” กรณีเพลิงไหม้รถนำเที่ยวนักเรียน สูญเสีย 22 ชีวิต ที่โศกนาฏกรรมนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่รับผิดชอบ ไม่มีท่าทีรัฐบาลี่จะหยุด ส่วย-สินบน ที่ปล่อยให้รถเถื่อนวิ่งเต็มถนน หรือกรณีนายอิทธิพล คุณปลื้ม ที่ยกฟ้องเพราะคดีขาดอายุความ พร้อมกับเกิดประเด็นว่าการหนีคดีของจำเลย ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีกรณีฮุบที่รถไฟ เขากระโดง ที่อิทธิพลนักการเมืองใหญ่ เหนือคำพิพากษาศาลฏีกา และศาลปกครองสูงสุด สุดท้ายสมบัติชาติจะได้รับการปกป้อง หรือรัฐต้องจ่ายค่าโง่ก่อนที่ผู้มีอิทธิพลงจะได้สิทธิ์เช่าระยะยาวในราคาแสนถูกหรือไม่ หรือกรณีล้มสัมปทานรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่เปิดให้เอกชนเจรจาแก้สัญญาไม่รู้จบ เฉือนประโยชน์รัฐเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนนักธุรกิจเยาะหยันความโปร่งใสเป็นเรื่องเพ้อฝัน รวมถึงกรณีฮุบป่า รุกที่ ส.ป.ก.หลายแสนไร่ทั่วประเทศ หลังมีนโยบาย ส.ป.ก.ทองคำ แปลงเป็นโฉนดจนที่ ส.ป.ก. อยู่ในมือนายทุน และยังถูกบุกรุกไปเรื่อย ๆ หรือกรณีขุด/ขนย้ายกากแร่แคดเมียมที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ถูกลงโทษจริงจัง กรณีหมูแช่แข็งเถื่อน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมือง และนายทุนนำเข้าเกี่ยวข้อง กรณีปลาหมอคางดำที่สร้างวิกฤตสัตว์น้ำรุนแรง และสุดท้ายกรณีดิ ไอคอน ที่แฉให้เห็นพฤติกรรมรุมเรียกรับสินบนจากคนหลายหน่วยงาน

Read More

พ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) พร้อมด้วยคณะ แถลงข่าวส่งมอบสำนวนคดี บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด กับพวก ในข้อหาฉ้อโกงประชาชนและความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ ให้แก่สำนักงานอัยการคดีพิเศษ DSI รับสำนวนคดีนี้จากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2567 โดยดำเนินการสอบสวนเป็นคดีพิเศษที่ 119/2567 ซึ่งใช้เวลาเพียง 54 วัน ก็สามารถสรุปสำนวนส่งฟ้องผู้ต้องหาได้ครบทั้ง 19 ราย ประกอบด้วยนิติบุคคล 1 ราย คือ บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด และบุคคลธรรมดาอีก 18 ราย นำโดยนายวรัตน์พล หรือบอสพอล กับพวก พ.ต.ต. ยุทธนา กล่าวว่า คดีนี้มีพยานเอกสารมากถึง 348,209 แผ่น พยานบุคคล 8,071 ปาก ผู้เสียหาย 7,875 ราย มูลค่าความเสียหายรวม 1,644 ล้านบาท DSI ได้อายัดทรัพย์สินไว้แล้ว 747,640,000 บาท ประกอบด้วยอาคารและที่ดิน สำหรับข้อหาที่ DSI เสนอให้อัยการสั่งฟ้องทั้ง 19 ราย มี 5 ข้อหาหลัก ได้แก่1. ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน (แชร์ลูกโซ่) ตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 25272. ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงในลักษณะชักชวนเข้าร่วมเครือข่ายโดยให้ผลตอบแทนจากการหาสมาชิกใหม่ ตาม พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 25453. ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 25454. ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน5. ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 อธิบดี DSI ยังกล่าวขอบคุณ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ…

Read More

พ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) พร้อมด้วยคณะ แถลงข่าวส่งมอบสำนวนคดี บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด กับพวก ในข้อหาฉ้อโกงประชาชนและความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ ให้แก่สำนักงานอัยการคดีพิเศษ DSI รับสำนวนคดีนี้จากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2567 โดยดำเนินการสอบสวนเป็นคดีพิเศษที่ 119/2567 ซึ่งใช้เวลาเพียง 54 วัน ก็สามารถสรุปสำนวนส่งฟ้องผู้ต้องหาได้ครบทั้ง 19 ราย ประกอบด้วยนิติบุคคล 1 ราย คือ บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด และบุคคลธรรมดาอีก 18 ราย นำโดยนายวรัตน์พล หรือบอสพอล กับพวก พ.ต.ต. ยุทธนา กล่าวว่า คดีนี้มีพยานเอกสารมากถึง 348,209 แผ่น พยานบุคคล 8,071 ปาก ผู้เสียหาย 7,875 ราย มูลค่าความเสียหายรวม 1,644 ล้านบาท DSI ได้อายัดทรัพย์สินไว้แล้ว 747,640,000 บาท ประกอบด้วยอาคารและที่ดิน สำหรับข้อหาที่ DSI เสนอให้อัยการสั่งฟ้องทั้ง 19 ราย มี 5 ข้อหาหลัก ได้แก่1. ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน (แชร์ลูกโซ่) ตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 25272. ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงในลักษณะชักชวนเข้าร่วมเครือข่ายโดยให้ผลตอบแทนจากการหาสมาชิกใหม่ ตาม พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 25453. ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 25454. ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน5. ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 อธิบดี DSI ยังกล่าวขอบคุณ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ…

Read More

30 มีนาคม 2566 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาคดีที่ พล.ต.ท.ธีรยุทธ กิติวัฒน์ ผู้บัญชาการสำนักงานส่งกำลังบำรุง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับพวกรวม 9 คน ตามคำร้องของป.ป.ช.กรณีทุจริตโครงการก่อสร้างอาคารที่พักข้าราชการตำรวจ ด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-bidding จำนวน 163 หลัง วงเงินกว่า 3,709 ล้านบาท ในความผิดข้อหาร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบมีเจตนาแสวงหาผลประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายและเอื้อประโยชน์ แก่บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเมนท์ แอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม โดยพบว่าจำเลยทั้ง 9กระทำผิดจริง มีข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1-6 คือ พล.ต.ท.ธีรยุทธ กิติวัฒน์, พล.ต.ต.สัจจะ คชหิรัญ, พล.ต.ต.สมาน สุดใจ, พ.ต.อ.ปัทเมฆ สุนทรานุยุตกิจ, พ.ต.อ.จิรวุฒิ จันทร์เพ็ญ, พ.ต.ต.สิทธิไพบูลย์ คำนิล เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจตำแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมาย อาญามาตรา 151, มาตรา 157 และเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐกระทำการใด ๆ โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม และมีความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ให้จำคุกตลอดชีวิต ปรับคนละ 390,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 7 พ.ต.ท.คมกริบ นุตาลัย จำคุก 5 ปี จำเลยที่ 8 ด.ต.สายัณ อบเชย จำคุก 19 ปีและจำเลยที่ 9 บริษัทพีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอน สตรัคชั่น จำกัด ปรับ 260,000 บาท แต่ให้การเป็นประโยชน์มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสาม คงเหลือลงโทษจำเลยที่ 1-6 จำคุกคนละ 33 ปี 4 เดือน และปรับคนละ…

Read More