Author: Writer Publisher

ดร. วันชัย สอนศิริ อดีตสมาชิกวุฒิสภา โพสต์ข้อความเรื่อง “กระบอกเสียงหรือกระบอกเสีย รัฐบาล” ผ่านเพจ Facebook ทนายวันชัย สอนศิริ แสดงความเห็น พร้อมตั้งคำถาม ทำไมฝ่ายรัฐบาลไม่ออกมาชี้แจงกรณี เอ็มโอยู 44 ถูกฝ่ายตรงข้ามกล่าวหาโจมตี ทั้ง ๆ ที่ ปล่อยรัฐบาลมีความพร้อมทุกด้าน ดังนี้ กระบอกเสียงหรือกระบอกเสีย “รัฐบาล”คำหนึ่งก็ขายชาติ คำหนึ่งก็เสียดินแดน คำหนึ่งก็ขัดพระบรมราชโองการ คำหนึ่งก็ทักษิณกับฮุนเซนแบ่งผลประโยชน์กัน คนที่เกลียดทักษิณก็พลอยเฮโลกันไปใหญ่ คนที่ไม่รู้เรื่องก็อะไรกันวะ… แต่จะประมาทเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ เพราะสมัยรัฐบาลทักษิณก็เคยโดนเรื่องที่คิดว่าไม่เป็นเรื่องมาแล้ว ถึงขนาดชุมนุมประท้วงขับไล่ปฏิวัติรัฐประหาร ก็เพราะคิดว่าไม่มีอะไรนี่แหละ มันบานปลายจนมีอะไร ขบวนการที่ไม่เอาทักษิณ เขาเริ่มก่อตัวปล่อยข่าวว่าขายชาติ เสียดินแดน แบ่งผลประโยชน์กัน มันเรื่องใหญ่นะ แต่ฝ่ายรัฐบาลที่มีบุคคลากรและเครื่องไม้เครื่องมือเต็มไปหมด กลับไม่ค่อยมีข่าวหรือให้ข้อมูลในเรื่องนี้มากนัก เหมือนจะเงียบกริบไปเสียด้วย ในขณะที่ข้อมูลอีกฝ่ายหนึ่งแรงกว่าและก็ดังกว่า ทั้งที่ฝ่ายรัฐบาลพร้อมทุกๆด้าน กลับดูเหมือนจะสู้เขาไม่ได้ และคนที่จะออกมาพูดแล้วทำให้รู้เรื่องเข้าใจและน่าเชื่อถือยังไม่มีเลย เป็นเพราะอะไรไม่รู้ คนจากทำเนียบรัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศที่น่าจะให้ข้อมูลได้ดี ชี้แจงแถลงก่อให้เกิดความเข้าใจได้ กลับหายหัวไปไหนกันหมด ปล่อยให้นายกอึก ๆ อัก ๆ เก้ ๆ กัง ๆ อยู่ได้…ผมแปลกใจมาก หรือจะรอให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอย…ที่รัฐบาลทักษิณเคยได้รับบทเรียนสาหัสสากรรจ์มาแล้วนั้น ยังไม่พออีกหรือ….

Read More

นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ นำนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ รวมถึงอดีตแกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 และมวลชนไปทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เพื่อให้ยกเลิก MOU 44 เพราะเห็นว่าจะนำไปสู่การสูญเสียดินแดน และส่อขายชาติ หลังจากนายทักษิณ ชินวัตร เมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรีไปจับมือ สมเด็จฮุนเซน จัดทำ MOU44 ขึ้นมา เชื่อว่าเป็นการร่วมมือฉ้อฉล พร้อมเสนอรัฐบาลเปิดเวทีสาธารณะ ทั้งฝ่ายสนับสนุน และต่อต้าน ถกประเด็นนี้ให้ประชาชนร่วมตัดสินว่าใครถูกใครผิด เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินการ เพื่อให้รัฐบาลพิจารณาต่อไป โดยนายสนธิบอกจะให้เวลารัฐบาลพิจารณาข้อเรียกร้อง 15 วัน หลังจากนั้นจะพิจารณาคำตอบ ซึ่งจะถือว่าเป็นการทวงถามครั้งที่ 1 จากนั้นจะพิจารณาว่าจะทำอย่างไรต่อไป โดยครั้งที่ 2 จะไปทวงถามที่รัฐบาล และยื่นที่อาคารรัฐสภาด้วย ดังนั้น การเคลื่อนไหวจะดำเนินการตามขั้นตอน จนกว่าจะทวงถามครั้งที่ 3 ไม่เช่นนั้นจะลงถนนต่อไป ไม่ใช่จู่ ๆ ลุกขึ้นมาลงถนน ทั้งนี้นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนรับมือหนังสือดังกล่าว บอกจะนำข้อเสนอดังกล่าวไปหารือกับนายกรัฐมนตรีบ่ายวันนี้ โดยเฉพาะกรณีให้เปิดเวทีสาธารณะ เชื่อว่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมในขณะนี้.ขอบคุณภาพ : FB คุยทุกเรื่องกับสนธิ ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/

Read More

นายสนธิ ลิ้มทองกุล และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ พร้อมคณะ ได้ยื่นหนังสือถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขอให้หยุดดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2544 และแถลงการณ์ร่วม (JC) ปี 2544 เรื่องเขตแดนทางทะเลไทย-กัมพูชา ชี้เป็นการละเมิดอำนาจอธิปไตย ฝ่าฝืนพระบรมราชโองการ และขัดรัฐธรรมนูญ สรุปประเด็นดังนี้ 7 ข้อเท็จจริง ยัน MOU 2544 เอื้อกัมพูชา เกาะกูดเป็นของไทย: ตามหนังสือสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ปี 1907 ไทยประกาศเขตแดนทางทะเล 12 ไมล์ทะเล: ตามพระบรมราชโองการ ปี 2509 ยึดถืออนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ปี 1958: ยืนยันอำนาจอธิปไตย “น่านน้ำภายใน” และ “ทะเลอาณาเขต” ของไทย รวมถึงกำหนด “เขตต่อเนื่อง” อีก 12 ไมล์ทะเล และหลัก “เส้นมัธยะ” ในการแบ่งเขตแดนทางทะเล ไทยประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทย: ตามพระบรมราชโองการ ปี 2516 ยึดหลัก “เส้นมัธยะ” แบ่งเขตกับกัมพูชาอย่างชัดเจน MOU 2544 ละเมิดอำนาจอธิปไตย: โดยรับรู้เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่อ้างสิทธิเกินจริง ไม่ยึดหลัก “เส้นมัธยะ” เอื้อประโยชน์ให้กัมพูชา MOU 2544 มีสถานะเป็นสนธิสัญญา: อาจทำให้ไทยเสียเปรียบซ้ำรอย “หลักกฎหมายปิดปาก” คดีปราสาทพระวิหาร ไทยเสียประโยชน์จาก MOU 2544: เสียสิทธิอธิปไตยและทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทย 6 ข้อเรียกร้องถึงนายกรัฐมนตรี รักษาเอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขตทางทะเลของไทย เสนอเรื่องต่อ ครม. ส่ง MOU 2544 และ JC 2544 ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ยกเลิก MOU 2544 และ JC 2544 ทันที หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญ…

Read More

เป็นนัดหมายที่ “อุ๊งอิ๊งค์” นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์โพรโมทด้วยตนเอง เชิญชวนให้ประชาชนฟังการแถลงผลงานครบรอบ 3 เดือนหลังก้าวขึ้นมาของรัฐบาล ภายใต้หัวข้อ “2568 โอกาสไทย ทำได้จริง 2025 Empowering This: A Real Possibility จากผลงานที่เป็นรูปธรรม สู่อนาคตที่ทำได้จริง” โดยจัดเก้าอี้กว่า 500 ที่นั่งให้คณะรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการทุกจังหวัด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หัวหน้ารัฐวิสาหกิจ ผู้บริหารองค์การมหาชน และสื่อมวลชนมาฟังกันอย่างถ้วนทั่ว พร้อมกับถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ วิทยุ และ Facebook ของ NBT นอกจากเป็นการฉายเดี่ยวที่พูดถึงผลงาน 3 เดือนที่ผ่านมาแล้ว นางสาวแพทองธาร ยังจะพูดถึงทิศทางของประเทศไทยในปี 2568 ที่กำหนดเป็นปีทองของประเทศไทย ทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ ท่องเที่ยว เกษตร อุตสาหกรรม และการลงทุน เพื่อเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจให้มากขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้การแถลงผลงานรัฐบาล ทั้งวันและช่วงเวลากลับไปตรงกับวันแรกของการเปิดสมัยประชุมสภาฯ พอดิบพอดี และกำลังประสานเพื่อขอนายกฯ มาตอบกระทู้สดในประเด็นร้อนๆ อย่าง MOU 44 กรณีว้าแดง หรือประเด็นเศรษฐกิจ แต่นายกฯ เลือกวันเวลาดังกล่าวเท่ากับปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านได้สอบถาม เหมือนไม่ให้ความสำคัญกับสภาฯ ไม่เช่นนั้นก็ควรใช้เวทีสภาฯ แถลงผลงานก็น่าดี และประหยัดงบประมาณจัดงานอีกด้วย ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/

Read More

จากประเด็นรัฐบาลจ่อขึ้นภาษี VAT15% จนกลายที่ข้อกังขาของประชาชนในประเทศ ร้อนถึง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องออกมาโต้ประเด็นนี้ โดยโพสต์ข้อความผ่าน X @ingshin ระบุข้อความว่า “จากข้อกังวลใจของพี่น้องประชาชน ต่อเรื่อง VAT15% วันนี้ ดิฉันได้พูดคุยหารือในประเด็นดังกล่าว กับท่านรองนายกรัฐมนตรีพิชัย ร่วมกับคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรีเพื่อความชัดเจน ดิฉันขอสรุปเพื่อชี้แจงต่อพี่น้องประชาชน ดังนี้ค่ะ ไม่มีการปรับ VAT เป็น 15% กระทรวงการคลัง กำลังศึกษาการปรับโครงสร้างภาษี ซึ่งต้องมองทั้งระบบให้ครบทุกมิติและเป็นธรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การปรับโครงสร้างภาษีของประเทศอื่นๆ ใช้เวลาศึกษาและปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป บางประเทศใช้เวลาปรับเปลี่ยนกว่า 10 ปี นโยบายหลักของรัฐบาล คือการลดรายจ่ายของประชาชน ลดรายจ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพของภาครัฐ ควบคู่ไปกับการหาโอกาสจากการสร้างรายได้ใหม่ให้ประชาชน ทั้งหมดนี้ เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของพี่น้องประชาชนคนไทยค่ะขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจค่ะว่า การทำงานของรัฐบาล เราดำเนินการด้วยความรัดกุม รับฟังทุกภาคส่วน และยึดประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยของเราทุกคนค่ะ” ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/

Read More

สมกับเป็นประเทศที่ใครต่อใครต่างก็อยากเดินทางมาท่องเที่ยว หลังรายงานล่าสุดจาก Euromonitor International บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลชั้นนำระดับโลก ระบุว่า “กรุงเทพมหานครฯ” สร้างปรากฏการณ์ใหม่ของนักท่องเที่ยวโลก ขึ้นแท่นอันดับ 1 เมืองท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากที่สุดในปี 2024 ด้วยอัตราการเข้ามาท่องเที่ยวทะลุ 32.4 ล้านคน! นำโด่งเมืองอิสตันบูลที่มีนักท่องเที่ยว 23 ล้านคน ถึงเกือบ 10 ล้านคน! ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจมันอยู่ตรงที่ไม่ใช่แค่ยอดตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวเพียงเท่านั้น แต่มันยังรวมไปถึงนโยบายที่เป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว ด้วยการยกเว้นวีซ่า 60 วัน สำหรับ 93 ประเทศ และการเพิ่มจำนวนประเทศที่มีสิทธิ์ขอวีซ่าเมื่อเดินทางมาถึงจาก 19 เป็น 31 ประเทศ ทำให้คว้าอันดับ 1 ด้านนโยบายและความน่าดึงดูดด้านการท่องเที่ยวอีกด้วย ไม่แปลกที่การท่องเที่ยวในประเทศไทยจะเติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 30% จากปี 2023 โดย 10 อันดับ เมืองที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากที่สุดในปี 2024 ได้แก่ กรุงเทพมหานครฯ ประเทศไทย (32.4 ล้านคน) อิสตันบูล ประเทศตุรกี (23 ล้านคน) ลอนดอน ประเทศอังกฤษ (21.7 ล้านคน) ฮ่องกง เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (20.5 ล้านคน) เมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย (19.3 ล้านคน) อันตัลยา ประเทศตุรกี (19.3 ล้านคน) ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (18.2 ล้านคน) มาเก๊า เขตบริหารพิเศษมาเก๊าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (18 ล้านคน) ปารีส ประเทศฝรั่งเศส (17.4 ล้านคน) กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย (16.5 ล้านคน) ขอบคุณที่มา : Euromonitor International

Read More

“ผมไม่ได้บอกว่าฝุ่นควันในเชียงใหม่เป็นปัจจัยเดียวที่ทำให้ผมกลายเป็นมะเร็งปอด เพราะก็มีคนอื่นที่สูดฝุ่นเหมือนกัน การเกิดมะเร็งในปอดผมมันเกิดจากหลายปัจจัยรวมๆ กัน โดยเฉพาะตัวหลักคือกรรมพันธุ์ของครอบครัวผมแต่กรรมพันธุ์มันก็เหมือนกับลูกโม่ที่อยู่ในปืนแหละครับ ส่วนสิ่งแวดล้อมที่เราเจอมันก็เหมือนคนลั่นไกปืนนั้น เราเปลี่ยนพันธุกรรมและสายเลือดเราไม่ได้ก็จริง แต่เราน่าจะจัดการกับสิ่งแวดล้อมได้นะครับเพราะผมเองก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าเรื่องฝุ่นควันนี่แหละที่เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่เพิ่มโอกาสการเกิดมะเร็งปอดครับ” เป็นส่วนหนึ่งหมอกฤตไท ธนกฤตสมบัติ เล่าเรื่องราวไว้ผ่านเฟซบุ๊กเพจ “สู้ดิวะ” หลังพบว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะลุกลามช่วงปลายปี 2565 ก่อนจากไปเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2566 ด้วยวัยเพียง 29 ปีเท่านั้น การจากไปของ “หมอกฤตไท” นำมาซึ่งความตื่นตัวในการเรียกร้อง “อากาศสะอาด” อยู่พักใหญ่ ก่อนกระแสจะจางจายไป พร้อมเรื่องใหม่ ๆ เข้ามาทดแทน The Publisher ตรวจสอบสถานะของ พ.ร.บ.อากาศสะอาด ซึ่งถือเป็นความหวังในการต่อสู้กับฝุ่น PM2.5 หลังการจากไปของหมอกฤตไท ครบรอบ 1 ปี ในวันที่ 5 ธันวาคม พบว่า ไทม์ไลน์การขับเคลื่อนกฎหมายฉบับนี้มีการผ่านสภาฯวาระที่ 1 เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2567 โดย กมธ.ฯ พิจารณา ร่าง พ.ร.บ. ฉบับที่ 8 ซึ่งรวบรวมจาก 7 ฉบับก่อนหน้า เพื่อให้ครอบคลุมทุกมิติ ซึ่งกลางเดือนธันวาคมนี้ จะมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน จากนั้นปลายเดือนธันวาคม นำเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ วาระที่ 2 และ 3 ก่อนชงเข้าวุฒิสภาในช่วงต้นปี 2568 และคาดว่าจะประกาศใช้บังคับได้ภายในปีเดียวกัน 1 ปีกับการจากไปของ “หมอกฤตไท” ประเทศไทยยังคงวนเวียนอยู่กับฤดูเผา-ฤดูฝุ่น กับความหวังว่า ปัญหาจะไม่รุนแรงยิ่งขึ้น จนเราต้องเป็นประชาชนที่อยู่ในประเทศที่ต้องซื้ออากาศหายใจ อย่างที่ “หมอกฤตไท” เคยตั้งคำถามไว้. ThePublisherTH #สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม #หมอกฤตไท #พรบอากาศสะอาด #มะเร็งปอด

Read More

“พะยูน” สัตว์ทะเลหายากที่เปรียบเสมือน “นางเงือก” แห่งท้องทะเลไทย กำลังเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ ที่ส่งเสียงเตือนถึงความเสียหายของระบบนิเวศทางทะเลอย่างรุนแรง ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศทางทะเล ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า ในช่วง 3 วันแรกของเดือนธันวาคม 2567 มีพะยูนตายไปแล้วถึง 5 ตัว นับเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะเมื่อรวมกับสถิติการตายของพะยูนในปี 2566 และปี 2567 (จนถึงเดือนพฤศจิกายน) พบว่ามีพะยูนตายไปแล้วกว่า 80 ตัว! ตัวเลขที่สูงขึ้นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่เรื้อรังและทวีความรุนแรงมากขึ้น สาเหตุสำคัญที่ทำให้พะยูนตาย ◾ การเสื่อมโทรมของแหล่งหญ้าทะเล: หญ้าทะเล คือแหล่งอาหารหลักของพะยูน แต่ปัจจุบันแหล่งหญ้าทะเลกำลังถูกทำลายจากทั้งปัจจัยธรรมชาติและมนุษย์ เช่น ภาวะโลกร้อน การขุดลอกร่องน้ำ และกิจกรรมการประมง◾ มลพิษทางทะเล: เช่น ขยะพลาสติก สารเคมี และน้ำเสีย ล้วนส่งผลกระทบต่อสุขภาพของพะยูน ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคต่างๆ ผลกระทบจากการสูญเสียพะยูน การสูญเสียพะยูน ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลโดยรวม รวมถึงเศรษฐกิจและสังคม เนื่องจากพะยูนเป็นสัตว์ที่ช่วยรักษาสมดุลของระบบนิเวศหญ้าทะเล ซึ่งเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ แหล่งอาหาร และแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ วิกฤตพะยูนครั้งนี้ เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า เราต้องเร่งแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมทางทะเลอย่างจริงจัง และต้องดำเนินการในทุกระดับ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดย ◾ อนุรักษ์และฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเล: เช่น การปลูกหญ้าทะเล การควบคุมมลพิษ และการจัดการพื้นที่ชายฝั่งอย่างยั่งยืน◾ ลดมลพิษทางทะเล: เช่น การลดการใช้พลาสติก การบำบัดน้ำเสีย และการควบคุมการปล่อยสารเคมีลงสู่ทะเล◾ สร้างความตระหนักรู้: ให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับความสำคัญของพะยูน และระบบนิเวศทางทะเล เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการอนุรักษ์◾ การบังคับใช้กฎหมาย: เอาจริงเอาจังกับการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองพะยูน และสิ่งแวดล้อมทางทะเล วิกฤตพะยูน คือวิกฤตของทะเลไทย หากเราไม่ลงมือแก้ไขอย่างจริงจังในวันนี้ ในอนาคต เราอาจต้องสูญเสีย “นางเงือก” แห่งท้องทะเลไทยไปตลอดกาล

Read More

คนไทยได้เฮทั้งประเทศ หลัง “ต้มยำกุ้ง” อาหารจานเด็ดรสชาติแซ่บถึงเครื่องของไทยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ประจำปี 2567 ต่อจากรายการ โขน นวดไทย โนราและสงกรานต์ในปีที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการ วธ.กล่าวต่อว่า ในการเสนอ “ต้มยำกุ้ง” ขึ้นทะเบียนมรดกกับยูเนสโกนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2564 เห็นชอบให้ วธ. โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เสนอขอขึ้นทะเบียน “ต้มยำกุ้ง” (Tomyum Kung) เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ค.ศ.2003 ของยูเนสโก หลังจาก “ต้มยำกุ้ง” ได้รับการประกาศขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติเมื่อปี พ.ศ.2554 ในสาขาความรู้และการปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล ประเภทอาหารและโภชนาการ ด้วย “ต้มยำกุ้ง” เป็นมรดกภูมิปัญญาที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีการดำเนินชีวิตของคนไทยที่มีความเรียบง่าย มีสุขภาวะทั้งกายและใจที่แข็งแรง รู้จักการพึ่งพาตนเองด้วยวิธีธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัว เป็น “กับข้าว” ที่คนในชุมชนเกษตรกรรมริมแม่น้ำในพื้นที่ภาคกลาง นำวัตถุดิบที่มีอยู่ในชุมชนท้องถิ่นมาสร้างสรรค์เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ โดยชื่อ ต้มยำกุ้ง เกิดจากการนำคำ 3 คำมารวมกัน ได้แก่ “ต้ม” “ยำ” และ “กุ้ง” ซึ่งหมายถึงกระบวนการทำอาหารที่นำเนื้อสัตว์ คือ กุ้ง ต้มลงในน้ำเดือดที่มีสมุนไพรซึ่งปลูกไว้กินเองในครัวเรือนอย่างข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด และปรุงรสจัดจ้านแบบยำ ให้มีรสเปรี้ยวนำด้วยมะนาว ตามด้วยรสเค็มจากเกลือหรือน้ำปลา รสเผ็ดจากพริก รสหวานจากกุ้ง และขมเล็กน้อยจากสมุนไพร

Read More

การประกาศกฎอัยการศึกของประธานาธิบดียุน ซอกยอล แห่งเกาหลีใต้ สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก เป็นการจุดชนวนความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหญ่ คำถามที่หลายคนสงสัยคือ อะไรคือเบื้องลึกเบื้องหลังการตัดสินใจครั้งนี้ และนี่คือ “เกมพลาด” ทางการเมืองของยุนหรือไม่? ไทม์ไลน์เหตุการณ์สำคัญ◾ 3 ธันวาคม 2567 (ค่ำ) : ประธานาธิบดียุน ซอก-ยอล ประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศผ่านทางโทรทัศน์ โดยกล่าวหาพรรคฝ่ายค้านหลักว่าสนับสนุนเกาหลีเหนือและเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ◾ 3 ธันวาคม 2567 (หลังประกาศ) : กองทัพออกกฤษฎีกาห้ามกิจกรรมทางการเมือง, การชุมนุม, การประท้วง, และควบคุมสื่อมวลชน◾ 4 ธันวาคม 2567 (เช้ามืด) : สมาชิกรัฐสภาเร่งประชุมฉุกเฉินเพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์◾ 4 ธันวาคม 2567 (เช้า) : รัฐสภามีมติคว่ำกฎอัยการศึกด้วยคะแนนเสียง 190 ต่อ 1◾ 4 ธันวาคม 2567 (เช้ามืด) : ประธานาธิบดียุนประกาศยกเลิกกฎอัยการศึกหลังรัฐสภาคว่ำมติเบื้องลึกการประกาศกฎอัยการศึกครั้งนี้เกิดจาก “ยุน” เสียเปรียบในสภา เพราะหลังการเลือกตั้ง พรรคฝ่ายค้านครองเสียงข้างมากในสภา ทำให้ยุน กลายเป็น “ประธานาธิบดีเป็ดง่อย” ไม่สามารถผลักดันนโยบายต่างๆ ได้ อีกทั้ง”ยุน” และภรรยาตกเป็นเป้า เผชิญกับข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริต ถูกพรรคฝ่ายค้านเดินหน้าสอบสวนอย่างเข้มข้น รัฐบาลของ “ยุน” ยังถูกฝ่ายค้านตัดงบประมาณ และพยายามถอดถอนสมาชิกคณะรัฐมนตรีการประกาศกฎอัยการศึก จึงอาจเป็น “เกม” ที่ยุนต้องการใช้เพื่อควบคุมสถานการณ์ สกัดกั้นการเคลื่อนไหวของฝ่ายค้าน และรักษาอำนาจของตนเองไว้ หรือจะเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจจากเรื่องอื้อฉาวของตนเองและภรรยา ควบคู่ไปกับการกดดันฝ่ายค้านให้ฝ่ายค้านยอมเจรจา และยอมผ่อนปรนในประเด็นต่าง ๆ แต่ “เกม” นี้ อาจเป็น “เกมพลาด” ของยุน เพราะการประกาศกฎอัยการศึกยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียด เกิดการประท้วง และความแตกแยกในสังคมเกาหลีใต้รุนแรงมากขึ้น กลายเป็นผู้นำที่ใช้อำนาจเผด็จการ ทำลายระบอบประชาธิปไตย สุดท้ายจบลงที่ถูกโดดเดี่ยวทางการเมืองเพราะแม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลบางส่วนยังออกมาต่อต้าน อีกทั้งการประกาศกฎอัยการศึกถูกคว่ำโดยสภาฯ ทำให้ยุนยิ่งตกอยู่ในสถานะลำบากจากความพยายาม “แก้เกม” ทางการเมือง แต่กลับกลายเป็น “เกมพลาด” ที่ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง อนาคตทางการเมืองของเขาเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนเป็นอีกหนึ่งบทสะท้อนของนักการเมืองที่ลุแก่อำนาจ ใช้อำนาจเพื่อรักษาอำนาจ แต่สุดท้ายอาจจบลงที่การ “สิ้นอำนาจ” และถูกจดจำในฐานผู้ทำลายประชาธิปไตยในเกาหลีใต้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง…

Read More