- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Browsing: News
ระหว่างวันที่ 5-7 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดปัตตานี พร้อมด้วยสำนักงาน ป.ป.ท. เขต 9, ศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษจังหวัดชายแดนใต้ (DSI จชต.), กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบการบุกรุกทำลายที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติใน 3 อำเภอของจังหวัดปัตตานี พบการขุดดินเกินกฎหมายกำหนด ทั้งที่มีและไม่มีเอกสารสิทธิ์ การตรวจสอบครั้งนี้ครอบคลุมพื้นที่ อำเภอแม่ลาน, อำเภอสายบุรี และอำเภอโคกโพธิ์ รวม 20 จุด โดยพบว่ามีการขุดดินในที่ดินเอกชนทั้งที่ได้รับอนุญาตและไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งในบางกรณีพบว่ามีการขุดเกินขอบเขตที่กฎหมายกำหนด สำหรับพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์มาแสดงตามกฎหมาย ถือว่าเป็น ที่ดินสาธารณประโยชน์และพื้นที่ป่าไม้ ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมหลักฐานและเตรียมดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมกำชับหน่วยงานท้องถิ่นให้เข้มงวดกับการอนุญาตขุดดินและถมดิน ตรวจเข้ม 3 วัน 3 อำเภอ• 5 ก.พ. ตรวจสอบพื้นที่ อ.แม่ลาน 4 จุด (ต.ป่าไร่ และ ต.แม่ลาน)• 6 ก.พ. ตรวจสอบพื้นที่ อ.สายบุรี 7 จุด (ต.ตะลุบัน และ ต.ละหาร)• 7 ก.พ. ตรวจสอบพื้นที่ อ.โคกโพธิ์ 9 จุด (ต.ปากล่อ, ต.ควนโนรี, ต.นาประดู่, ต.นาเกต, ต.ท่าเรือ) การลงพื้นที่ในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ โครงการศูนย์บูรณาการฐานข้อมูลด้านการต่อต้านการทุจริตในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ประจำปีงบประมาณ 2568 ซึ่งมีสำนักงาน ป.ป.ท. เขต 9 เป็นหน่วยประสานงานหลัก เจ้าหน้าที่เน้นย้ำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันตรวจสอบและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและผลประโยชน์ของประชาชนในพื้นที่
เป็นความคืบหน้าคดีที่นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ หรือ “ปูอัด” ส.ส.พรรคไทยก้าวหน้า ถูกศาลจังหวัดเชียงใหม่ออกหมายจับในข้อหาข่มขืนกระทำชำเรานักท่องเที่ยวสาวไต้หวัน ที่จังหวัดเชียงใหม่ ขณะฝ่ายเจ้าตัวอ้างว่าถูกตำรวจรีดเงิน 4 แสนบาทแลกล้มคดี ยืนยันเป็นความสัมพันธ์ที่เกิดจากการสมยอม เรื่องนี้ พ.ต.อ.ปรัชญา ทิศลา ผกก.สภ.เมืองเชียงใหม่ ยืนยันทางตำรวจมีพยานหลักฐานครบถ้วน จึงสามารถขออนุมัติศาลออกหมายจับได้ และที่อ้างว่าเป็นการสมยอมไม่มีน้ำหนัก เป็นเพียงข้ออ้างฝ่ายผู้ต้องหาที่กล่าวอ้างผ่านสื่อฯ เพราะหากเป็นเช่นนั้น ผู้เสียหายคงไม่เข้าแจ้งความดำเนินคดี ส่วนที่อ้างตำรวจเรียกรับเงิน 400,000 บาทนั้น พ.ต.อ.ปรัชญายืนยันว่าถ้ามีหลักฐานให้นำมาแจ้งความที่ สภ.เมืองเชียงใหม่ หากมีตำรวจเกี่ยวข้อง จะดำเนินการทั้งทางอาญาและวินัย แต่หากเป็นเพียงคำกล่าวอ้าง ผู้ให้ข้อมูลก็ต้องรับผิดชอบด้วย ทั้งนี้ ทีมงานของ ส.ส.ปูอัด ได้ติดต่อขอเข้ามอบตัวแล้ว แต่คาดว่าจะรอที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ลงมติให้ส่งตัวไปดำเนินคดีหรือไม่ก่อน ขณะที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ บอกทันทีที่ได้รับหนังสือขอตัวนายไชยามพวานจาก สภ.เชียงใหม่ จะรีบดำเนินการหารือที่ประชุมสภาฯ ว่าจะอนุมัติหรือไม่อนุมัติ โดยเมื่อมีหนังสือมาถึงจะบรรจุเข้าระเบียบวาระภายใน 15 วัน คาดว่าน่าจะบรรจุวาระนี้ได้ในสัปดาห์หน้า โดยจะบรรจุเป็นเรื่องด่วนเพื่อขออนุมัติจากที่ประชุมสภาฯ
เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) บุกทลายโรงงานลักลอบผลิตสำลีชุบเอทิลแอลกอฮอล์ 70%v/v เถื่อน ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี หลังพบสินค้าถูกกระจายไปยังโรงพยาบาลกว่า 12 แห่งทั่วประเทศ สร้างความเสี่ยงต่อชีวิตผู้ป่วย เปิดโปงโรงงานเถื่อนกลางเมืองนนท์ สืบเนื่องจากการร้องเรียนและเบาะแสจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ.) และ อย. ได้ทำการเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ถูกใช้ในโรงพยาบาล จนพบว่า “สำลีชุบเอทิลแอลกอฮอล์ 70%v/v” ภายใต้แบรนด์ “ดาราพลัส” ไม่มีใบอนุญาตและอาจไม่ได้มาตรฐาน เมื่อเจ้าหน้าที่สืบสวนจนทราบแหล่งผลิต พบว่าโรงงานดังกล่าวตั้งอยู่ภายในโกดังแห่งหนึ่งใน ต.คลองข่อย อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี โดยมีการลักลอบผลิตสำลีชุบเอทิลแอลกอฮอล์ที่อาจมีส่วนผสมไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ซึ่งอาจทำให้การฆ่าเชื้อไม่มีประสิทธิภาพและเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อของผู้ป่วย ยึดของกลางมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 เจ้าหน้าที่ กก.4 บก.ปคบ. พร้อมหมายศาลจังหวัดนนทบุรี เข้าตรวจค้นโกดังดังกล่าว และพบว่ากำลังอยู่ในกระบวนการผลิตสำลีชุบเอทิลแอลกอฮอล์อย่างผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจยึดของกลางทั้งหมด 22 รายการ รวมมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท ประกอบด้วย• สำลีชุบเอทิลแอลกอฮอล์ 70%v/v แบรนด์ “ดาราพลัส” 2,830 แผง• สำลีชุบเอทิลแอลกอฮอล์ 70%v/v แบรนด์ “เช็ดดี้” 6,400 ชิ้น• วัตถุดิบสำหรับการผลิต เช่น สำลีแบบก้อน 89 ถุง, เอทิลแอลกอฮอล์จำนวนมาก• เครื่องจักรและอุปกรณ์การผลิต เช่น เครื่องปั่นแอลกอฮอล์, เครื่องบรรจุ, เครื่องซีลแผง• กล่องบรรจุภัณฑ์และฉลากมากกว่า 47,500 ชิ้น จากการตรวจสอบ พบว่าโรงงานดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตให้ผลิตเครื่องมือแพทย์จาก อย. หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหมายความว่าเครื่องมือแพทย์ทั้งหมดที่ผลิตออกมาเป็นของปลอม และไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย เจือจางแอลกอฮอล์ ลดต้นทุน เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต นอกจากการผลิตโดยไม่มีใบอนุญาตแล้ว ยังพบว่าเลข อย. ที่ระบุบนฉลาก “66-2-3-2-0009436” เป็นของบริษัทที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์นี้ นอกจากนี้ มีการตรวจสอบพบว่าโรงงานใช้วิธี “ผสมแอลกอฮอล์กับน้ำ” เพื่อลดต้นทุน ซึ่งอาจทำให้ผลิตภัณฑ์ไม่มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อและเสี่ยงต่อการปนเปื้อน เจ้าหน้าที่จะนำตัวอย่างของกลางทั้งหมดไปตรวจสอบมาตรฐาน ณ…
“สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น” “วัชระ” นำ ป.ป.ช.ดูประตูลับ! สนามบินดอนเมือง ผิดกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่?
วันนี้ 10 ก.พ. 68 นายวัชระ เพชรทอง อดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ นัดหมายจนท. ป.ป.ช. ดูประตูลับ สนามบินดอนเมือง ตามที่ได้ร้องเรียนไปยังรมว.มหาดไทย กับพวก กรณีอนุมัติและก่อสร้างประตูลับ เข้า-ออก ระหว่างท่าอากาศยานดอนเมืองกับถนนสาธารณะภายนอก ณ บริเวณประตูเข้าที่เก็บเครื่องบิน โรงเก็บเครื่องบินของเอกชน โดยไม่ผ่านสนง.ตรวจคนเข้าเมืองและกรมศุลกากร ซึ่งผิดกม.ระหว่างประเทศและส่อว่ามีการทุจริต นายวัชระกล่าวว่า ตนรับทราบว่ามีประตูลับแห่งนี้จากบุคคลภายในการท่าฯ ที่เป็นคนร้องเรียนมา จึงรวบรวมหลักฐานร้องเรียนไปยัง ป.ป.ช. ขอให้มีการตรวจสอบ ล่าสุด ป.ป.ช. รับเรื่อง และตั้งอนุกรรมการฯ สอบข้อเท็จจริงต่อไป
ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เช้าวันนี้ (10 ก.พ.68)พ.ต.ท.สราวุธ บุตรดี รองผู้กำกับการสอบสวน สน.สายไหม เดินหน้ายื่นสำนวนคดีเว็บพนันออนไลน์เครือข่าย “มินนี่” อีกครั้ง หลังมีข่าวว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ อาจตีตกคดีดังกล่าว แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ตำรวจยื่นหลักฐานในคดีนี้ แต่ สิ่งที่ทำให้เกิดข้อกังวล คือข่าวลือว่า ป.ป.ช. พิจารณาพยานหลักฐานฝั่งผู้ต้องหาเป็นหลัก ขณะที่หลักฐานจากฝั่งตำรวจที่กล่าวหา กลับถูกหยิบขึ้นมาดูเพียงบางส่วน “เราไม่สบายใจ เกรงว่าพนักงานสอบสวนจะไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงต้องนำหลักฐานเก่ามายื่นในวันนี้อีกครั้ง” พ.ต.ท.สราวุธ กล่าวขณะเดินเข้าตึก ป.ป.ช. พ.ต.ท.สราวุธ เปิดเผยว่า เอกสารและพยานหลักฐานที่นำมาส่งวันนี้ เป็นหลักฐานสำคัญ ทั้ง ข้อมูลนิติวิทยาศาสตร์และเส้นทางการเงิน ที่เชื่อมโยงกับเว็บพนันออนไลน์และ นายตำรวจระดับสูงที่เกี่ยวข้อง “นี่คือหลักฐานชุดเดิมที่เราส่งไปแล้ว แต่กลับไม่ได้ถูกนำขึ้นพิจารณา ผมเลยต้องนำมายื่นใหม่ เราติดตามการทำงานของ ป.ป.ช. มาโดยตลอด และคดีนี้มีผู้เกี่ยวข้องระดับอดีตรองผบ.ตร. แต่กลับมีข้อสงสัยว่าผู้ที่เกี่ยวข้องบางคนได้รับการชี้มูล ขณะที่อีกฝ่ายกลับสามารถขอเอกสารเพิ่มเติมได้” เขายืนยันว่า นี่ไม่ใช่การยื้อคดี หรือการล่าช้า แต่เป็นเพียงการติดตามให้แน่ใจว่า “กระบวนการยุติธรรม” จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ศึกยื่นสำนวนซ้ำ! “ตำรวจ 8 นาย” กับข้อกล่าวหา ม.157-149 สำหรับคดีนี้ เกี่ยวข้องกับนายตำรวจระดับสูงถึง 8 นาย ซึ่งเป็น คนใกล้ชิดของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก โดยทั้งหมดถูกกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ) และ มาตรา 149 (เรียกรับผลประโยชน์โดยมิชอบ) ที่พัวพันกับ เครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ “มินนี่” ป.ป.ช.จะเดินหน้าหรือปัดตก? จับตาผลประชุมวันนี้! สิ่งที่ทุกฝ่ายจับตามองในวันนี้ คือการประชุมของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหญ่ ซึ่งจะพิจารณาเรื่องนี้ หลังจากที่ มีข่าวลือว่าอาจจะตีตกข้อกล่าวหา และทำให้คดีนี้ จบลงโดยไม่มีผู้รับผิดชอบอย่างแท้จริง “ผลประชุมจะออกมาเป็นอย่างไร ผมไม่ขอก้าวล่วง แต่หวังว่าทุกฝ่ายจะได้รับความเป็นธรรม” พ.ต.ท.สราวุธ กล่าวก่อนเดินเข้าห้องประชุม
การเมืองไทยช่วงต้นปีเริ่มร้อนระอุ เมื่อพรรคฝ่ายค้านเตรียม ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในเดือนกุมภาพันธ์นี้ คาดว่าจะมีการอภิปรายในช่วงเดือนมีนาคม ซึ่งจะเป็นเวทีแรกของรัฐบาลนี้ที่ต้องเผชิญกับการตรวจสอบจากฝ่ายค้าน เช้าวันนี้ (10 ก.พ.68) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยระบุว่า “อยู่ที่ว่าฝ่ายค้านมีประเด็นอะไร ถ้าคิดว่ารัฐบาลมีจุดบกพร่องตรงไหน ก็ให้ดูตามเนื้อหา ถ้าประเด็นไม่เยอะ วันเดียวก็พอ แต่ถ้ามีอะไรต้องอภิปราย เราไม่มีปัญหา จะกี่วันก็ว่ากันไป” ที่น่าสนใจคือ การส่งสัญญาณเตือนถึงฝ่ายค้าน ว่า อย่าพาดพิง “คนนอก” เพราะข้อบังคับสภาไม่คุ้มครอง อาจโดนฟ้องกลับได้ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการพูดถึงกระแสข่าวที่ฝ่ายค้านอาจพุ่งเป้าไปที่ “นายทักษิณ ชินวัตร” บิดานายกฯ “การอภิปรายไม่ไว้วางใจ คือการอภิปรายรัฐบาล ไม่ใช่ว่าจะพูดถึงใครก็ได้ ฝ่ายค้านต้องตรวจสอบให้ดี เพราะกฎหมายและข้อบังคับสภาไม่ได้คุ้มครองการพาดพิงบุคคลภายนอก” นายภูมิธรรมกล่าว “ทักษิณ” เมินศึกซักฟอก ยืนยันอิ๊งค์พร้อมตอบ ฝั่งนายทักษิณเอง ดูเหมือนไม่ได้กังวลกับกระแสที่อาจมีการพาดพิงถึงตัวเองในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยให้สัมภาษณ์ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ว่า “ถ้าฝ่ายค้านอยากถามอะไรก็ถามมา ผมอาจไปอยู่หลังสภาฯ คอยตอบก็ได้นะ” เมื่อถูกถามว่าจะมีการตั้งโต๊ะแถลงตอบโต้หรือไม่ หากมีการพาดพิงถึง เขาตอบติดตลกว่า “ไม่รู้สิ ถ้าพาดพิงก็ให้มาถามผมได้เลย” ส่วนเรื่องที่ฝ่ายค้านอาจใช้ประเด็น “ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ” มาเล่นงานรัฐบาล โดยพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย นำข้อมูลไปมอบให้ฝ่ายค้านแ้ว นายทักษิณก็ยังคงมีท่าทีสบาย ๆ พร้อมบอกว่า “ไม่มีอะไรให้กังวล” และยังใช้คำพูดปริศนาว่า รู้จักแต่พล.ต.อ.ที่เป็นผู้ชาย ไม่รู้จัก พล.ต.อ.ที่เป็นผู้หญิง พร้อมระบุเคยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ แต่ไม่พูดว่าตอนนี้ยังมีสัมพันธ์ที่ดีหรือไม่ ย้ำว่า “แค่เคยมี” เมื่อถูกถามว่ากังวลไหมที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันจะต้องเจอศึกอภิปรายครั้งแรก ทักษิณตอบทันทีว่า “ไม่กังวลเลย อิ๊งค์ผ่านมาเยอะแล้ว โดนมาเยอะแล้ว สบายๆ” “ปรับ ครม.” แค่ข่าวลือ? – “ทักษิณ” ยันยังไม่ถึงเวลา อีกหนึ่งกระแสร้อนแรงในช่วงนี้คือ ข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่สื่อหลายสำนักเริ่มจับตาว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงเร็วๆ นี้ โดยเฉพาะตำแหน่งของ รมว.เกษตรฯ ที่มีข่าวลือว่า “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า”…
ในช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่เริ่มคลายกังวลจากโควิด-19 กลับกลายเป็นว่า “ไข้หวัดใหญ่” คือโรคที่ทำให้คนไทยป่วยมากที่สุดในตอนนี้ สองเดือนติดกันแล้ว ที่จำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่พุ่งสูงกว่าโควิด-19 วันนี้ (10 ก.พ. 68) นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านระบบการหายใจ ออกมาเตือนผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยเปิดเผยข้อมูลการระบาดของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธเก็บสถิติไว้ในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา “ขณะนี้ไข้หวัดใหญ่กลับมาแรงกว่าที่หลายคนคิด สองเดือนแล้วที่จำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ในไทยสูงกว่าโควิด-19” หมอมนูญระบุ พร้อมให้ข้อมูลจากตัวเลขล่าสุดของโรงพยาบาลวิชัยยุทธ พบว่าในเดือนมกราคม มีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ถึง 232 ราย ขณะที่ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ลดลงเหลือเพียง 44 ราย ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่น่าตกใจ เพราะก่อนหน้านี้ คนส่วนใหญ่ยังคงมองว่าโควิดเป็นภัยหลัก แต่แท้จริงแล้ว ไข้หวัดใหญ่กำลังเป็นปัญหาใหญ่กว่าที่คิด ไวรัสทางเดินหายใจระบาด หน้าหนาวทำให้หนักขึ้น ช่วงฤดูหนาวแบบนี้ ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจแพร่กระจายง่ายขึ้น นอกจากไข้หวัดใหญ่แล้ว ยังมีไวรัสตัวอื่นๆ ที่ยังพบได้ต่อเนื่อง เช่น ไรโนไวรัสที่ทำให้เป็นหวัดธรรมดา hMPV ที่มักพบในเด็ก และ RSV ซึ่งมักจะระบาดหนักในช่วงปลายฝนต้นหนาว แต่ที่น่าสนใจคือ ไวรัสโควิด-19 ที่เคยเป็นปัญหาหลักของโลกกลับมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ขณะที่ โนโรไวรัส และโรตาไวรัส ซึ่งทำให้เกิดอาการท้องร่วงอย่างรุนแรง ยังพบได้บ่อยในช่วงนี้ โดยเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อโนโรไวรัส 21 ราย และโรตาไวรัส 20 ราย ไข้หวัดใหญ่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นักแสดงไต้หวันเสียชีวิตเพราะสายพันธุ์ A ที่ทำให้คนไทยเริ่มกังวลมากขึ้นคือ ข่าวการเสียชีวิตของนักแสดงหญิงชาวไต้หวันวัย 48 ปี ซึ่งเสียชีวิตจาก ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A หลังจากเดินทางไปญี่ปุ่น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า แม้จะเป็นโรคที่เราคุ้นเคย แต่ถ้าเกิดภาวะแทรกซ้อนก็อันตรายถึงชีวิตได้ “ขณะนี้คนไทยเริ่มหันมาสนใจการระบาดของไข้หวัดใหญ่มากขึ้น โดยเฉพาะคนที่กำลังจะเดินทางไปญี่ปุ่น เพราะมีรายงานการระบาดหนัก” หมอมนูญกล่าว เดินทางต่างประเทศช่วงนี้ ต้องป้องกันตัวให้ดี หมอมนูญ เน้นย้ำว่า ใครที่กำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่น ควรป้องกันตัวเองจากไข้หวัดใหญ่ให้ดี เพราะเป็นไวรัสที่ติดต่อผ่านละอองฝอยจากการไอ จาม และการสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ สิ่งที่ควรทำคือฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ก่อนเดินทาง สวมหน้ากากอนามัยในที่แออัดและล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจล
กัณวีร์ สืบแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ออกโรงวิจารณ์ภาครัฐอย่างเผ็ดร้อน หลังจาก สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) แม่สอด เตรียมเปิดศูนย์ประสานงานระหว่างประเทศในวันนี้ เพื่อตอบสนองต่อปัญหาค้ามนุษย์ที่กำลังระอุ “เอาหล่ะ ดีกว่าไม่ทำ แต่ทำแล้วต้องทำให้ดี!” กัณวีร์ ประกาศผ่านเฟซบุ๊ก พร้อมตั้งคำถามว่า รัฐมีความพร้อมจริงหรือไม่ ในการดูแลเหยื่อค้ามนุษย์กว่า 6,500 คน ที่รอการช่วยเหลือ เปิดข้อมูลเหยื่อ 6,500 คน ไทยยังล่าช้า กัณวีร์เผยว่า ข้อมูลของเหยื่อเหล่านี้ถูกส่งให้รัฐบาลไปตั้งแต่ 5 เดือนที่แล้ว แต่จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีความคืบหน้า ขณะที่เมื่อวานนี้ มีผู้เสียหายชาวเคนย่าหนีออกมาได้เอง โดยไม่มีหน่วยงานไทยเข้าช่วยเหลือเลย นี่เป็นสัญญาณชัดเจนว่า รัฐยังทำงานช้าเกินไป! “แค่ส่งหนังสือไปถามสถานทูตว่าคนพวกนี้เป็นใคร คุณยังทำกันหรือยัง?” กัณวีร์ตั้งคำถามพร้อมระบุว่า การพิสูจน์ตัวตนของเหยื่อเป็นขั้นตอนสำคัญในการคัดแยกและให้ความช่วยเหลือ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ควรดำเนินการร่วมกันให้เร็วที่สุด นอกจากนี้ยังตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับ ความสอดคล้องของศูนย์ประสานงาน ตปท. กับศูนย์สั่งการชายแดนของผู้ว่าราชการจังหวัด ว่าจะสามารถ ทำงานร่วมกันได้จริงหรือไม่
เป็นปฏิบัติการอรัญ 68 Seal Border ระเบิดสะพานโจร Call center ทลายซิม สาย เสา สัญญาณอินเทอร์เน็ตและสัญญาณโทรศัพท์ที่ส่งไปปอยเปต ประเทศกัมพูชา เป็นความร่วมมือของตำรวจภูธรภาค 2 และ กสทช. ที่เรียกว่าปฏิบัติการล้มเสา ตัดสาย ทำลายซิม เพื่อหวังตัดเส้นเลือดใหญ่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่หลอกลวงคนไทย เพิ่มเติมจากการตรวจค้นบุคคล ยานพาหนะ บุคคลเป้าหมาย ช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ดำเนินกลยุทธ์ป้องกันปราบปรามการกระทำ โดยเฉพาะการฉ้อโกงออนไลน์ โดย พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผบช.ภ.2 บอกวันนี้จะตัดสัญญาณสื่อสาร จากผู้เช่าฝั่งไทยที่ปล่อยสัญญาณให้เป็นเครื่องมือประกอบอาชญากรรม เป็นเครื่องมือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกลวงคนไทย พร้อมกับตัดสัญญาณโทรศัพท์ที่ไกลถึงประเทศเพื่อนบ้าน โดยทำให้สัญญาณลดความถี่ลง เพื่อให้ใช้เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดเป็นมาตรการขั้นเด็ดขาด พร้อมๆ กับการซีลชายแดนที่จะยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และขยายขอบเขตพื้นที่ไปอีกเรื่อยๆ ขณะที่ตัวแทน กสทช. ระบุพบเสาสัญญาณสูงเกินความจำเป็นหรือสูงถึง 50-60 เมตร ซึ่งต้องเอาลงแน่นอน พร้อมกำหนดความสูงเสา และกำหนดกำลังส่งสัญญาณใหม่ เพื่อให้อยู่ในราชอาณาจักรไทยเท่านั้น เบื้องต้นตามแนวเสาส่งสัญญาณ 50-100 เมตรจากชายแดนจะต้องเอาออกทั้งหมด รวมถึงสายส่งสัญญาณจะดำเนินการตัดทันทีที่พบว่าผิดปกติ ซึ่งเกตเวย์มี 4 เจ้าใหญ่ ส่วนรายเล็กจากฝั่งปอยเปต 13 จุดดังนั้นถ้าเกิน 17 จุดนี้ก็ตัดทันที ส่วนซิมโทรศัพท์ จะเชิญโอเปอเรเตอร์มาจัดระเบียบใหม่
เมื่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงกระแสข่าวการเดินทางกลับไทยของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในช่วงสงกรานต์นี้ว่า “ยังต้องดูเรื่องความเหมาะสม”ส่วนปัจจัยอะไรที่ยังทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังเดินทางกลับไม่ได้ นายทักษิณ ระบุว่า มีหลายปัจจัย นั้น ถ้าดูการตอบคำถามของนายทักษิณต่อสื่อมวลชนในเรื่องนี้แล้ว แสดงให้เห็นว่านายทักษิณไม่มั่นใจว่า จะพาน้องสาวกลับมาก่อนสงกรานต์ตามที่เคยประกาศไว้ เพราะดีลการเมืองเดิมที่เคยตกลงไว้นั้น น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงและคลาดเคลื่อนไป เพราะฝ่ายอนุรักษ์นิยมยังไม่มั่นใจในบทบาทของนายทักษิณ ที่ช่วงหลังนี้มักจะเคลื่อนไหวแบบล้ำเส้น หรือออฟไซด์ อยู่เป็นประจำ และพยายามสื่อให้สังคมเห็นว่าตัวเองเป็นคนมีเส้น สามารถเจรจาหรือต่อรองเงื่อนไขกับพระเจ้าได้ ตอนที่ปราศรัยบนเวทีหาเสียงนายกอบจ. ศรีสะเกษ จึงทำให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมรู้สึกหงุดหงิดไม่สบอารมณ์ จึงยังไม่มีสัญญาณไฟเขียวให้นางสาวยิ่งลักษณ์เดินทางกลับประเทศไทย ตามที่นายทักษิณต้องการและจะต้องรอพิสูจน์ท่าทีและความเคลื่อนไหวของนายทักษิณต่อไป ส่วนที่นายทักษิณบอกว่า ยังมีหลายปัจจัยที่ทำให้นางสาวยิ่งลักษณ์เดินทางกลับประเทศไทยไม่ได้ในเร็วๆ นี้ น่าจะมาจากปัจจัยเหล่านี้คือ 1.บทบาทของนายทักษิณเอง ที่แสดงบทบาทเกินขอบเขต ต้องการ แสดงบทบาทเป็นผู้มีอำนาจทางการเมืองสูงสุด 2.ผลจากการเลือกตั้งนายกอบจ.ที่พ่ายแพ้หลายจังหวัด ทำให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมขาดความไว้วางใจ ที่จะมอบให้เป็นตัวแทนสู้กับพรรคประชาชน 3.การเตรียมการข้อกฎหมาย ที่จะใช้อภินิหารทางกฎหมาย ยังไม่มีความพร้อม และฝ่ายอนุรักษ์นิยมยังไม่เห็นชอบ ถ้ากลับมาตอนนี้อาจต้องติดคุกจริงก่อน 4.ประเด็นของนายทักษิณเรื่องชั้น 14 ยังเป็นปัญหาคาใจของสังคม และยังอยู่ในระหว่างการสอบสวนของ ปปช.อยู่ ซึ่งผลการตรวจสอบยังไม่รู้ว่าจะเป็นการป่วยจริงหรือป่วยทิพย์ 5.ถ้าหากนำนางสาวยิ่งลักษณ์กลับมา แบบนักโทษเทวดา ก็จะเป็นนักโทษนางฟ้าอีกคน ก็ยิ่งจะเพิ่มกระแสความไม่พอใจของสังคมมากขึ้นอีก ส่วนคำถามว่า นางสาวยิ่งลักษณ์จะได้เดินทางกลับมาทันภายในปีนี้หรือไม่นั้น นายทักษิณ ตอบว่า “กำลังดูอยู่ ความจริงเขาอยากกลับตั้งแต่เมื่อวาน” ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า ทั้งนายทักษิณและนางสาวยิ่งลักษณ์อยากกลับประเทศไทยมากๆ แต่เงื่อนไขทั้งหมดอยู่ที่นายทักษิณ จะเจรจาหรือเปิดดีลใหม่กับฝ่ายอนุรักษ์นิยมสำเร็จหรือไม่