Browsing: News

จากกรณี บริษัท คือบริษัท โพสเซฟี่ กรุ๊ป จำกัด ตัวแทนจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ OPPO และบริษัท โปรทา จำกัด ตัวแทนจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ Realme ชี้แจงต่อ กสทช.ว่า มีการติดตั้งแอปฯ จากโรงงาน โดยบริษัท โพสเซฟี่ กรุ๊ป ยอมรับว่า Fineasy ไม่ได้ขออนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ ขณะที่ตัวแทนจากบริษัท โปรทา กล่าวยอมรับไปในทิศทางเดียวกับ โพสเซฟี่ กรุ๊ป ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า ทั้ง OPPO และ Realme เป็นเจ้าของเดียวกันและมาจากโรงงานเดียวกันนั้น เมื่อตรวจสอบรายได้ย้อนหลัง 5 ปีของทั้งสองบริษัท จากข้อมูล กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า บริษัท โพสเซฟี่ กรุ๊ป จำกัด ตัวแทนจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ OPPO ทุนจดทะเบียน 600 ล้านบาท จดทะเบียนตั้งแต่ วันที่ 5 มี.ค.2552 ปี 2562 รายได้ 18,583,286,794 บาท กำไร 167,924,094 บาทปี 2563 รายได้ 16,601,468,742 บาท กำไร 192,419,222 บาทปี 2564 รายได้ 19,113,195,721 บาท กำไร 165,902,794 บาทปี 2565 รายได้ 18,369,397,362 บาท กำไร 125,951,136 บาทปี 2566 รายได้ 15,009,781,879 บาท กำไร 88,896,009 บาท บริษัท โปรทา จำกัด ตัวแทนจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ Realme ทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท จดทะเบียนตั้งแต่…

Read More

นายอิฐบูรณ์​ อ้นวงษา รองเลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค เปิดเผยกับ The Publisher ถึงกรณีที่ OPPO-Realme แจ้ง กสทช.ว่า แอปฯ เงินกู้ติดตั้งจากโรงงาน ไม่ได้ขออนุญาตแบงก์ชาติว่า ข้อมูลชัดเจนว่าเกิดการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค เพราะเป็นแอปฯ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการบริการของมือถือโดยตรง แต่เป็นการขายพ่วงบริการเพิ่มเข้ามา โดยไม่ได้อยู่ภายใต้กรอบกฎหมายของไทยสองลักษณะคือ เป็นการปล่อยสินเชื่อโดยไม่ได้อยู่ในกำกับของแบงก์ชาติที่จะสามารถเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนดที่ร้อยละสิบห้าได้ และยังพบพฤติกรรมว่ามีการปล่อยสินเชื่อ เรียกเก็บดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละสิบห้าด้วย อีกทั้งยังทำทำผิดกฎหมายเรื่องการทวงถามหนี้ด้วย ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ล้อกับข้อมูลที่บอกว่าติดตั้งมาตั้งแต่ปี 2566 เพราะสอดรับกับที่ผู้บริโภคมาร้องเรียนกับสภาองค์กรของผู้บริโภคในช่วงเวลาดังกล่าวพอดี เพียงแต่ในขณะนั้นยังไม่มีการเชื่อมโยงถึงที่มาของแอปฯ ดังกล่าวว่ามากับเครื่องมือถือเรื่องนี้ถือ เป็นพฤติกรรมของผู้ประกอบธุรกิจที่มีเจตนากระทำการละเมิดสิทธิผู้บริโภคอย่างชัดแจ้ง สคบ.จะต้องดำเนินการ โดยทราบว่าจะมีการเรียกทั้งสองบริษัทไปชี้แจงข้อมูล จึงขอฝากไปยัง สคบ.ให้ดำเนินการอย่างจริงจัง เพราะคาบเกี่ยวกับบเรื่องสินค้าที่มีความชำรุดบกพร่อง ล็อกไม่ให้ผู้บริโภคเลิกรับ สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้ผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องและเป็นอันตราย เพราะพ่วงด้วยบริการที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคด้วย ถ้าติดตั้งตั้งแต่ปี 2566 บรรดาเจ้าของซิมค่ายต่าง ๆ มีการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องมีการสกัดแอปฯ แปลกปลอมออกมา แต่กลับไม่มีการบังคับใช้อย่างจริงจัง ไม่ให้มีการละเมิดสิทธิของประชาชน รองเลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวด้วยว่า คำขอโทษของ OPPO ยังไม่เพียงพอ บริษัทฯ ไม่ควรมีการขายพ่วงเอาชื่อลูกค้าไปสร้างประโยชน์ให้ตัวเอง ถือเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค ต้องถอดแอปฯ ออกไป โดยที่ผู้บริโภคไม่ต้องไปที่ศูนย์บริการแต่ตอนนี้ก็ยังดำเนินการไม่ได้ ทำให้เกิดความวิตกกังวลเรื่องการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล บริษัทต้องเคลียร์ให้ชัด โดยทางสภาองค์กรของผู้บริโภค กำลังพิจารณาเรื่องการฟ้องร้องบริษัทในลักษณะฟ้องกลุ่มจากผู้บริโภคที่ร้องเรียนมาด้วย หากไม่มีการเยียวอย่างรวดเร็วและเหมาะสมก็ต้องฟ้องเพื่อให้เป็นบรรทัดฐานต่อไป โดยอยู่ระหว่างเช็กข้อมูลว่ายังมีผู้ประกอบการมือถือรายอื่น ๆ มีการกระทำลักษณะนี้ด้วยหรือไม่ โดยอาจมีการโฟกัสไปยังแพลตฟอร์มอื่น ๆ ด้วย เช่น กูเกิ้ลที่ให้โหลดแอปฯ ต่าง ๆ ว่ามีแอปฯ ที่ไม่อยู่ภายใต้กฎหมายหรืออาจทำให้เกิดปัญหาข้อกฎหมายได้ ก็ควรมีการสกัดเพื่อไม่ให้มีการเสนอสินค้าที่เป็นพิษเป็นภัยต่อผู้บริโภค จึงขอฝากไปยังผู้ประกอบธุรกิจรายอื่นด้วย “เรื่องนี้เป็นทั้งบทเรียนและอุทธาหรณ์ที่สำคัญว่า สิทธิผู้บริโภคไม่ควรที่จะดูถูกว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา ถ้าผู้ประกอบธุรกิจอยากยกระดับให้สินค้าตัวเองมีมาตรฐานก็ควรคำนึงถึงสิทธิผู้บริโภค โดยเฉพาะอิสระในการเลือกใช้สินค้าบริการ เรื่องการดูแลความปลอดภัยในการใช้สินค้าบริการด้วย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเองก็ต้องมีมาตรการเชิงรุกที่จะเข้ามาดูแลด้วย โดยเฉพาะ สคบ.เพราะตอนนี้ชื่อของเราซื้อมือถือ ลงทะเบียนซิม ชื่ออยู่กับผู้ประกอบธุรกิจทั้งหมด เป็นกฎหมายบังคับคนดีให้ต้องสำแดงตน ในมือถือของแต่ละคนมีข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่ควรให้มิจฉาชีพเข้าถึง แสดงว่ามีช่องทางการรั่วไหลข้อมูลส่วนบุคคลหลายช่องทางมาก เป็นสิ่งที่ทุกหน่วยงานต้องให้ความสำคัญ เพราะระบบออนไลน์เป็นดาบสองคมถ้าไม่มีการกำกับที่แข็งแรงดีพอ ประชาชนหายนะได้ง่าย ๆ ครับ” นายอิฐบูรณ์ กล่าวทิ้งท้าย

Read More

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. …. หรือ Entertainment Complex โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made Destination) แก้ปัญหาพนันผิดกฎหมาย และดึงดูดการลงทุน อย่างไรก็ตาม มีข้อเสนอแนะและความกังวลจากหลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงสาธารณสุขห่วงใยเรื่องผลกระทบด้านสุขภาพ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ กังวลเรื่องผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอให้รัฐบาลกำหนดนิยาม “Entertainment Complex” และวัตถุประสงค์ของร่าง พ.ร.บ. ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่าประชาชนยังมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงขอให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงชี้แจงรายละเอียดให้ชัดเจน โดยรัฐบาลจะเร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ให้เร็วที่สุด แต่ต้องผ่านกระบวนการพิจารณาตามขั้นตอน โดยยกตัวอย่างสิงคโปร์ ที่มีกาสิโนถูกกฎหมาย ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวจะถูกส่งไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อตรวจพิจารณา ก่อนนำกลับเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. อีกครั้ง กาสิโนถูกกฎหมาย #EntertainmentComplex #ท่องเที่ยว #พนัน #ครม.

Read More

วันนี้ (13 ม.ค. 68) ศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 คดี “เตี้ย มช.” สุนัขขวัญใจชาวมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ถูก ส.ต.ท.ปริญญา ปัญญาบุตร อุ้มหายไปก่อนพบเป็นซากเมื่อปี 63 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ชี้ ส.ต.ท.ปริญญา มีความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะ และทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันควร โดยตัดสินจำคุก 16 เดือน ไม่รอลงอาญา พร้อมชดใช้ค่าเสียหาย 100,000 บาท แก่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศาลอุทธรณ์พิจารณาหลักฐานจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่แสดงความเป็นเจ้าของ “เตี้ย มช.” ทั้งการให้อาหาร ฉีดวัคซีน ทำหมัน ตรวจสุขภาพ และฝังไมโครชิป จึงพิพากษาว่า ส.ต.ท.ปริญญา มีความผิดฐานลักทรัพย์ด้วย กลุ่มแฟนคลับ “เตี้ย มช.” และมูลนิธิวอชด็อกไทยแลนด์ แสดงความพอใจต่อคำตัดสิน โดยหวังว่าคดีนี้จะเป็นบรรทัดฐานในการคุ้มครองสัตว์ และป้องกันการทารุณกรรมสัตว์ในอนาคตนางสาวทิวากร ศิริรัตน์ คณะกรรมการโครงการ Ma CMU (หมาซีเอ็มยู) กล่าวว่า “เตี้ย มช.” ถือเป็นหนึ่งชีวิตที่มีค่า การต่อสู้คดีครั้งนี้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับสัตว์ทุกตัวนางสาวสบันงา นนทระ ประธานมูลนิธิวอชด็อกไทยแลนด์ ย้ำว่า คดี “เตี้ย มช.” จะเป็นกรณีตัวอย่างในการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองสัตว์ และสร้างความตระหนักถึงปัญหาการทารุณกรรมสัตว์ในสังคม

Read More

13 ม.ค. 68 – นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยถึงความเห็นต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพื่อจัดตั้ง สสร. ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ว่ายังมีอุปสรรคสำคัญหลายประการและความเห็นต่างในหลายประเด็น เช่น ควรแก้หรือไม่แก้รัฐธรรมนูญ จะคงหมวด 1 หมวด 2 เดิมไว้หรือไม่ และต้องทำประชามติกี่ครั้ง (2 หรือ 3 ครั้ง) นายจุรินทร์ เน้นย้ำว่า หากมีการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ควรกำหนดคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีให้เข้มงวด โดยเฉพาะเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตและมาตรฐานทางจริยธรรม เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่มีพฤติกรรมทุจริตเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ “สังคมควรจับตาประเด็นนี้เป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการแก้ที่ทำให้มาตรฐานทางการเมืองไทยต่ำลง” นายจุรินทร์ กล่าว

Read More

กสทช. เรียกสอบ หลังผู้ใช้พบแอพฯ “Fineasy” ติดตั้งอัตโนมัติบนมือถือ OPPO-Realme สร้างความกังวลด้านความปลอดภัย จากกรณีผู้ใช้สมาร์ทโฟน OPPO และ Realme พบแอพพลิเคชั่นกู้เงิน “Fineasy” ถูกติดตั้งมาพร้อมเครื่องโดยอัตโนมัติ และไม่สามารถลบออกได้ สร้างความตระหนกแก่ผู้ใช้จำนวนมาก เนื่องจากเกรงว่าข้อมูลส่วนตัวในเครื่องจะถูกเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต ล่าสุด วันนี้ (13 ม.ค.68) สำนักงาน กสทช. ได้เรียกตัวแทนจำหน่ายทั้ง 2 บริษัท คือ บริษัท โพสเซฟี่ กรุ๊ป จำกัด (OPPO) และ บริษัท โปรทา จำกัด (Realme) เข้าชี้แจงข้อเท็จจริง โดยตัวแทนจากทั้งสองบริษัทยอมรับว่า แอพพลิเคชั่น “Fineasy” ไม่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย และเป็นการติดตั้งมาจากโรงงานจริง ซึ่งสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ว่า OPPO และ Realme เป็นบริษัทในเครือเดียวกัน และใช้โรงงานผลิตเดียวกัน ทั้งนี้ กสทช. อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม และจะดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไปมีคำแนะนำสำหรับผู้ใช้ OPPO และ Realme ว่า ควรตรวจสอบโทรศัพท์ของคุณว่ามีแอพพลิเคชั่น “Fineasy” ติดตั้งอยู่หรือไม่ หากพบแอพพลิเคชันดังกล่าว ควรงดใช้งาน และติดตามประกาศจาก กสทช. อย่างใกล้ชิด ระมัดระวังการให้ข้อมูลส่วนบุคคลแก่แอพพลิเคชั่นที่ไม่น่าเชื่อถือ อัพเดตระบบปฏิบัติการของโทรศัพท์ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอ ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่https://thepublisherth.com/

Read More

กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) นำกำลังบุกจับกุมแก๊งค้ามนุษย์ ขณะลอบขนแรงงานเมียนมา 15 คน ซุกซ่อนในรีสอร์ทแห่งหนึ่งใน อ.รัตภูมิ จ.สงขลา เตรียมส่งต่อไปยังสามจังหวัดชายแดนใต้การจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ บก.ปคม. ได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีการลักลอบขนแรงงานต่างด้าว จึงวางแผนเข้าจับกุม พบรถกระบะต้องสงสัย 2 คัน ขับเข้าไปจอดบริเวณรีสอร์ทดังกล่าว โดยมีชาย 2 คน และหญิง 1 คน กำลังช่วยกันนำคนต่างด้าวลงจากรถ เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเข้าตรวจสอบ พบแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ไม่มีเอกสารอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร จากการสอบสวน ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ได้รับการว่าจ้างให้นำแรงงานต่างด้าวไปส่งยังสามจังหวัดชายแดนใต้ โดยรับแรงงานมาจาก อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ และใช้รถกระบะ 2 คัน คันหนึ่งเป็นรถขนแรงงาน อีกคันเป็นรถนำทาง คอยส่งสัญญาณหากพบด่านตรวจเบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาผู้ต้องหาชาวไทย 3 คน ฐานให้ที่พักพิง ซ่อนเร้น ช่วยเหลือคนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ส่วนแรงงานต่างด้าว 15 คน ถูกแจ้งข้อหาเป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.รัตภูมิ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป สำหรับผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม ประกอบด้วย นายจิตรภาณุฯ อายุ 31 ปี (คนขับรถขนแรงงาน) นายเกรียงศักดิ์ฯ อายุ 51 ปี (คนขับรถนำทาง) นางดวงพรฯ อายุ 50 ปี (ผู้ประสานงาน) และแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา 15 คน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดของกลางเป็น รถยนต์กระบะบรรทุก ยี่ห้อเชฟโรเลต สีเทา และรถยนต์กระบะบรรทุก ยี่ห้อโตโยต้า สีเทา

Read More

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ระบุพร้อมรับมือกับการซักฟอกของฝ่ายค้านในประเด็นเขากระโดง เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่ตนเป็นรมว.มหาดไทย พร้อมเปิดข้อมูลการพิจารณาของรองปลัดกระทรวงมหาดไทยที่รับผิดชอบเรื่องการอุทธรณ์ ถึงกรณีการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้อุทธรณ์ความเห็นของอธิบดีกรมที่ดิน ที่ตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 61 และไม่เพิกถอนที่ดินเขากระโดงว่า รองปลัดมหาดไทย จะลงนาม และยืนยันตามความเห็นของกรมที่ดิน “ในเมื่อมีคู่กรณี มีความเห็นไม่ตรงกัน จึงต้องรอฟังที่ศาลปกครอง เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าใครดื้อหรือไม่ดื้อหรือใครตั้งใจทำอะไรผิดกฎหมายหรือไม่ ยืนยันกรมที่ดินไม่มีส่วนได้เสีย เพราะกรมที่ดินไม่ใช่เจ้าของที่ดินเขากระโดง สมมติไปยึดที่ดิน 5 พันกว่าไร่ แล้วจะเป็นที่ดินของกระทรวงเสียเมื่อไหร่ และขอย้ำว่ากรมที่ดินเป็นผู้รักษากฎหมาย หากไม่เห็นด้วยกับดุลพินิจหรือความเห็นคณะกรรมการตามมาตรา 61 ก็ไปดำเนินการฟ้องต่อศาลที่เกี่ยวข้องได้ ซึ่งกรมที่ดินพร้อมดำเนินการตามกฎหมายทุกอย่างไม่มีการใหญ่กว่าศาล” นายอนุทิน กล่าว

Read More

แม้แต่ซาเล้งเก็บของเก่ายังต้องจ่ายส่วย! เหตุการณ์จับกุมแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชา 13 คน ขับซาเล้งเก็บของเก่าในนนทบุรี โดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน เผยให้เห็นปัญหาคอร์รัปชันที่ฝังรากลึกในสังคมไทย สะท้อนให้เห็นว่าการจ่ายผลประโยชน์ใต้โต๊ะนั้น เกิดขึ้นในทุกระดับชั้น แม้แต่กับอาชีพหาเช้ากินค่ำอย่าง “ซาเล้งเก็บของเก่า” การจับกุมครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากประชาชนร้องเรียนเรื่องแรงงานต่างด้าวขับซาเล้งกีดขวางการจราจรและลักขโมยของ ซึ่งจากการสอบสวนพบว่า แรงงานต่างด้าวเหล่านี้จ่ายเงิน “ส่วย” ให้กับ “คนดูแล” รายเดือน เดือนละหลายพันบาท เพื่อแลกกับการทำงานโดยไม่ถูกจับกุม โดยขณะถูกจับกุม แรงงานต่างด้าวได้โทรศัพท์หา “คนดูแล” เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เจ้าหน้าที่ไม่สนใจ ดำเนินการจับกุมและส่งตัวดำเนินคดีตามกฎหมาย นายชุ้น ณัฐเดช กังสุกุล ปลัดจังหวัดนนทบุรี ยืนยันว่าจะดำเนินการสอบสวนขยายผลไปถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด รวมถึงร้านรับซื้อของเก่า เพื่อตรวจสอบว่ามีการขออนุญาตถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ กรณี “ส่วยซาเล้ง” นี้ เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของปัญหาทุจริตคอร์รัปชันที่กัดกร่อนสังคมไทย ซึ่งส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นของนักลงทุน และความยุติธรรมในสังคม การแก้ไขปัญหานี้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในการสร้างสังคมที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และปราศจากการทุจริต

Read More

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน โดยเฉพาะรายการเงินให้กู้ยืมของนายปิฎก สุขสวัสดิ์ คู่สมรส นายเรืองไกร ระบุว่า จากการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของ น.ส.แพทองธาร ที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567 พบข้อสงสัยเกี่ยวกับรายการเงินให้กู้ยืมของคู่สมรส แก่บริษัท วินน์ แคปปิตอล จำกัด จำนวน 8 รายการ รวมเป็นเงิน 12,770,000 บาท ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างปี 2564 – 2565 โดยมีการแจ้งรายได้ดอกเบี้ย 383,100 บาท โดยตั้งข้อสังเกต มีดังนี้ นายปิฎก สุขสวัสดิ์ คู่สมรสของนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เป็นกรรมการหรือผู้ถือหุ้นของบริษัท วินน์ แคปปิตอล จำกัด แต่มีการระบุในหมายเหตุประกอบงบการเงินของบริษัทฯ ว่า เงินกู้ 12.77 ล้านบาท เป็นเงินกู้ยืมจากกรรมการ มีความคลาดเคลื่อนในข้อมูลระหว่างที่ น.ส.แพทองธาร แจ้งต่อ ป.ป.ช. กับข้อมูลจากบริษัท วินน์ แคปปิตอล จำกัด นายเรืองไกร จึงขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบว่า การแจ้งรายการเงินให้กู้ยืมของคู่สมรส ดังกล่าว เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 114 เรื่องแจ้งบัญชีทรัพย์สินหรือไม่ และขอให้ตรวจสอบประเด็นต่างๆ เพิ่มเติม ได้แก่ คู่สมรสเป็นกรรมการบริษัท วินน์ แคปปิตอล จำกัด หรือไม่ มีการนำดอกเบี้ยไปเสียภาษีรวมกับรายได้อื่นครบถ้วนหรือไม่ บริษัทฯ ผู้จ่ายดอกเบี้ยมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือไม่ ดอกเบี้ยดังกล่าวต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะหรือไม่ ทั้งนี้ นายเรืองไกร ได้แนบเอกสารประกอบการร้องเรียน รวมถึงสำเนาข่าวจากสำนักข่าวอิศรา เพื่อให้ ป.ป.ช. ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป

Read More