นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบหลักการร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. หรือ “พ.ร.ก.ไซเบอร์” ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ที่ยังคงสร้างความเสียหายแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง
นายจิรายุ กล่าวว่า รัฐบาลพบว่าประชาชนยังคงตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ ทำให้สูญเสียเงินเฉลี่ยวันละ 60-70 ล้านบาท พ.ร.ก.ไซเบอร์ฉบับเดิมจึงต้องได้รับการแก้ไขปรับปรุง เนื่องจากยังขาดอำนาจหน้าที่และบทลงโทษในหลายประเด็น โดยเฉพาะการจัดการบัญชีม้าบนแพลตฟอร์ม P2P การคืนเงินแก่ผู้เสียหาย และการเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด
สาระสำคัญของ พ.ร.ก.ไซเบอร์ ฉบับใหม่
เพิ่มอำนาจ ในการจัดการแพลตฟอร์ม P2P ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด
เพิ่มหน้าที่ ให้ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ (telco provider) ระงับซิมที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด
เพิ่มหน้าที่ ให้ธนาคารส่งข้อมูลบัญชีม้าไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อตรวจสอบและคืนเงินแก่ผู้เสียหายอย่างรวดเร็ว
เพิ่มบทลงโทษ แพลตฟอร์ม P2P และธนาคารที่ไม่ปฏิเสธการเปิดบัญชีของมิจฉาชีพ
เพิ่มบทลงโทษ ผู้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
เพิ่มบทลงโทษ ให้สถาบันการเงิน เครือข่ายมือถือ และสื่อสังคมออนไลน์ ร่วมรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการปล่อยปละละเลย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้สอบถามถึงความจำเป็นในการออก พ.ร.ก. ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ชี้แจงว่า หาก ครม. เห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ก็สามารถพิจารณาอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.ก. ได้
ด้านนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ยืนยันว่า กฎหมายฉบับนี้มีประโยชน์ต่อประชาชน และจะช่วยป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
คาดว่า พ.ร.ก.ฉบับนี้ จะมีผลบังคับใช้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 หลังจากผ่านการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และประกาศในราชกิจจานุเบกษา
นายจิรายุ ย้ำว่า พ.ร.ก.ไซเบอร์ เป็นเพียงหนึ่งในมาตรการแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ รัฐบาลยังเดินหน้ามาตรการอื่น ๆ ควบคู่กันไปด้วย เช่น การประสานความร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามที่ทุกประเทศต้องร่วมมือกันแก้ไข