เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” โดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร
⸻
สัญญาณเตือนจากมูดี้ส์ : เมื่อความน่าเชื่อถือของไทยเริ่มติดลบ
เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 20 ปี ที่มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทยจาก “มีเสถียรภาพ” เป็น “เชิงลบ” และนั่นไม่ใช่เรื่องเล็ก ในมุมของ กรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เขามองว่านี่คือสัญญาณเตือนภัยของความเสี่ยงที่จะนำไปสู่การถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ
“เราอยู่ในอันดับ Baa1 มาตั้งแต่ปี 2547…การที่แนวโน้มถูกปรับเป็นเชิงลบ หมายความว่าขั้นต่อไปอาจเป็นการลดอันดับเครดิตจริง ๆ ซึ่งจะกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุนโดยตรง”
กรณ์ ชี้ว่าต้นตอของปัญหาคือความเสี่ยงด้านการคลังของรัฐ ทั้งการจัดงบประมาณขาดดุลต่อเนื่อง รายได้พลาดเป้า และเศรษฐกิจโตต่ำกว่าคาด
“รัฐบาลตั้งเป้าเศรษฐกิจโต 3% แต่ดูจากปัจจัยต่าง ๆ แล้ว อาจโตได้จริงเพียง 1.5% ขณะที่รายได้แผ่นดินพลาดเป้า แต่รัฐบาลยังคงเดินหน้าใช้จ่ายแบบเดิม ไม่ปรับ ไม่ลด”
สิ่งที่น่าห่วงไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือ “ท่าที” ของรัฐบาล ที่กรณ์มองว่าแสดงออกถึงความไม่มีวินัยทางการคลัง
“ถ้าไม่ปรับงบปี 68-69 ไม่ยกเลิกโครงการอย่างดิจิทัลวอลเล็ตที่ใช้งบ 1.5 แสนล้าน แล้วจะกู้เพิ่มอีก 5 แสนล้าน ทั้งที่ยังไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ถ้าคิดว่ามีปัญหาต้องใช้เงินที่มีในมือให้เกิดประโยชน์สูงสุดก่อน ไม่ใช่คิดสร้างหนี้”
เขาย้ำว่าดิจิทัลวอลเล็ต เป็นโครงการที่ไม่ควรทำมาตั้งแต่ต้น ถ้ายังดันทุรังทำต่อ โดยไม่มีการปรับอะไรเลยจะเกิดความเสี่ยงต่อฐานะการคลังของประเทศ
⸻
ไร้วินัยการคลัง-ขาดทิศทางปฏิรูป
ความเสี่ยงที่เกินกว่าเรื่อง “เงิน”
กรณ์ยังตั้งข้อสังเกตถึงท่าทีของรัฐบาลต่อการเจรจากับสหรัฐฯ ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจัง อาจมาจากการเมืองและการที่สหรัฐฯ ไม่ได้เห็นความสำคัญของประเทศไทยอีกต่อไป
“แม้แต่ทรัมป์ที่อยากโชว์ว่าคุยกับใครบ้าง ยังไม่คุยกับไทย เป็นเพราะเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับเราหรือเปล่า และตอนนี้ในสายตามหาอำนาจรวมถึงจีนก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับไทย”
กรณ์แนะนำว่ารัฐบาลไทยควรทำการบ้านให้ชัดว่า “ดุลการค้าบวกกับสหรัฐฯ” มาจากไหน หากส่วนใหญ่เกิดจากการที่บริษัทสหรัฐฯ มาลงทุนในไทย แล้วส่งสินค้ากลับไป ก็ต้องชี้ให้เห็นว่านี่คือผลประโยชน์ร่วม ไม่ควรใช้เป็นข้ออ้างในการลงโทษไทยทางการค้า
เขาย้ำว่า ไทยควรใช้จังหวะวิกฤตนี้ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างจริงจังเพื่อปูทางสร้างอนาคตประเทศ ทั้งเรื่องการศึกษา เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน
“แต่จนถึงตอนนี้…ยังไม่เห็นว่ารัฐบาลมีทิศทางเรื่องเหล่านี้เลย”
⸻
ยิ่งทำ ยิ่งจน—กรณ์เสนอพันธบัตรป่าไม้ ปฏิรูปโครงสร้างการเกษตร
หนึ่งในข้อเสนอเชิงโครงสร้างที่กรณ์ให้ความสำคัญคือ การปฏิรูปภาคเกษตร ซึ่งเขามองว่ากำลังติดกับดักความยากจน และนโยบายปกป้องที่ไม่สามารถสร้างทางรอดและรายได้ที่มั่นคงได้จริง
“ยิ่งทำ ยิ่งจน ยิ่งทำ ยิ่งมีหนี้…ชาวไร่ข้าวโพดคือคนกลุ่มหนึ่งที่ยากจนที่สุดในประเทศ แต่รัฐยังใช้วิธีปกป้องที่ไม่ได้เปลี่ยนชีวิตเขาเลย”
กรณ์เสนอแนวคิด “พันธบัตรป่าไม้” ที่จะให้รัฐบาลว่าจ้างเกษตรกรปลูกป่าเศรษฐกิจ 58 ชนิดตามกฎหมายที่ พล.อ.ประยุทธ์เคยออกไว้ โดยจ่ายเงินเดือนจากกองทุนที่ได้จากพันธบัตรนี้ ให้เกษตรกรมีรายได้มั่นคง พร้อมกับได้ป่าคืน ได้ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทางบวก และลดฝุ่น PM2.5 ที่มาจากการเผาซังข้าวโพด
“ระหว่างรอต้นไม้โตเกษตรกรมีรายได้มั่นคงจากการเป็นผู้ปลูกป่าเศรษฐกิจ มีเวลาไปทำอาชีพเสริม ไม้ที่ปลูกอยู่ในไร่จะกลายเป็นหลักประกันเงินกู้ของเกษตรกรได้…และเมื่อขายไม้ได้ รายได้จะแบ่งกันระหว่างรัฐกับเกษตรกร นี่คือการยิงนัดเดียวได้นกหลายตัว”
⸻
รัฐบาลที่ไม่ปรับอะไรเลย น่ากลัวยิ่งกว่าวิกฤตเศรษฐกิจ
กรณ์สรุปท้ายรายการว่า วิกฤตครั้งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนของประเทศได้ หากผู้นำมีวิสัยทัศน์พอจะใช้โอกาสนี้ในการปฏิรูปอย่างแท้จริง
“แต่ถ้ารัฐยังเดินหน้าแบบไม่ปรับอะไรเลย เศรษฐกิจไทยก็น่าห่วง สถานการคลังของประเทศก็สุ่มเสี่ยง”
—