ปัญหาการตายอย่างโดดเดี่ยวในญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่น่ากังวลใจ หลังพบว่าประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปประมาณ 68,000 คน เสียชีวิตลำพังที่บ้านโดยไม่มีใครสังเกตเห็น กระทั่งเริ่มมีกลิ่นเน่าโชยออกมา คนภายนอกจึงเริ่มรับรู้ เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ไม่ควรให้เกิดกับประเทศไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเช่นเดียวกัน เราสามารถเรียนรู้จากญี่ปุ่นและนำมาปรับใช้ โดยเน้นการสร้างระบบ โครงสร้างพื้นฐาน และปลูกฝังค่านิยมเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ
มีคำถามว่าเราเตรียมระบบเพื่อรับมือปัญหาเหล่านี้หรือยัง ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำฐานข้อมูลผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่คนเดียว เพื่อติดตามและให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที อาจใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น แอปพลิเคชันสำหรับผู้สูงอายุ ระบบแจ้งเตือน สร้างเครือข่ายชุมชนที่เข้มแข็ง เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลผู้สูงอายุ เช่น อาสาสมัครเยี่ยมบ้าน จัดกิจกรรมในชุมชน สร้างศูนย์ดูแลผู้สูงอายุในชุมชน ที่สำคัญคือการสร้างโอกาสทางสังคมให้กับผู้สูงอายุ ได้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า ไม่โดดเดี่ยว รวมถึงการลดช่องว่างของวัยด้วยการให้คนรุ่นใหม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้สูงอายุมากขึ้น
เคยถามตัวเองกันบ้างหรือไม่ว่า เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับ “ลูก” คนเป็นพ่อแม่ทุ่มเทเต็มที่ เสียเท่าไหร่ก็ยอมควัก แต่พอเป็นเรื่องพ่อ แม่ ปู่ ยา ตา ยาย กว่าจะควักเงินออกมาแต่ละบาทคิดแล้วคิดอีก คนสูงอายุถูกมองเป็นภาระ และมีแนวโน้มจะถูกทอดทิ้งมากขึ้น การแก้ไขปัญหาการตายอย่างโดดเดี่ยว ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชน และครอบครัว เพื่อสร้างสังคมที่ผู้สูงอายุได้รับการดูแล มีคุณภาพชีวิตที่ดี และไม่ถูกทอดทิ้งจนจบที่ “ตายอย่างโดดเดี่ยว”