Author: Writer Publisher

วันนี้ 10 มีนาคม 2568 น.ส.รักชนก ศรีนอก และนายสหัสวัต คุ้มคง จากพรรคประชาชน ร่วมแถลงข่าวประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนของกองทุนประกันสังคม โดยเฉพาะการซื้อสำนักงานแห่งหนึ่งในย่านพระราม 9 ซึ่งกองทุนได้จ่ายเงินเกินราคาประเมินหลายเท่า และทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับธรรมาภิบาลในการบริหารเงินกองทุน น.ส.รักชนก ระบุว่า การลงทุนในครั้งนี้ทำให้เห็นถึงปัญหาเกี่ยวกับความโปร่งใสและการใช้งบประมาณของกองทุนประกันสังคม ซึ่งมีเงินกว่า 2.6 ล้านล้านบาทที่ต้องการการบริหารจัดการที่ดีและโปร่งใส โดยเฉพาะการซื้อที่ดินที่มีมูลค่า 3,000 ล้านบาท แต่กองทุนกลับจ่ายเงินสูงถึง 7,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเกินราคาประเมินเกือบ 2 เท่า โดยชี้แจงว่าตึกดังกล่าวเดิมเคยเป็นตึกร้าง ก่อนที่บริษัทเอกชนจะเข้ามารีโนเวทและขายให้กับกองทุนประกันสังคม ในปี 2565-2566 ซึ่งในปีแรกหลังจากการลงทุน อาคารมีอัตราการเช่าเพียงแค่ 1-2% และแม้ในปีถัดมาจะมีอัตราการเช่าเพิ่มขึ้นเป็น 40% แต่ยังคงมีข้อสงสัยในเรื่องความคุ้มค่าในการลงทุนนั้นเข้าข่ายติดลบ ทั้งนี้ กองทุนประกันสังคมรายงานว่าปี 2567 ทำกำไรได้ประมาณ 40 ล้านบาท แต่ค่าใช้จ่ายในการบริหารกลับสูงถึง 50 ล้านบาท ซึ่งหมายความว่าการลงทุนนี้ยังขาดทุนทุกปี นอกจากนี้ น.ส.รักชนก ยังตั้งคำถามว่า ทำไมกองทุนประกันสังคมถึงยอมจ่ายเงินเกินราคามากมายเพื่อซื้อตึกที่มีราคาประเมินเพียง 3,000 ล้านบาทในช่วงที่มีการประเมินในช่วงโควิด นอกจากนี้ยังตั้งคำถามเกี่ยวกับเหตุผลที่กองทุนประกันสังคมยอมจ่ายเงินเกินราคาถึง 2 เท่า พร้อมกับสงสัยว่าเจ้าของมือแรกของตึกอาจเกี่ยวข้องกับนักการเมืองจากพรรคบ้านป่า ซึ่งอดีตเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงแรงงาน นายสหัสวรรษ กล่าวเพิ่มเติมว่า มีความพยายามให้กองทุนประกันสังคมลงทุนในนอกตลาดหุ้นในช่วงปี 2565 และพบว่า บุคคลใกล้ชิดของผู้มีอำนาจถูกโยกย้ายมาอยู่ในกลุ่มบริหารงานความเสี่ยงและอนุกรรมการพิเศษเพื่อพิจารณาการลงทุนนี้ ซึ่งทำให้เกิดความสงสัยเกี่ยวกับการบริหารจัดการและความโปร่งใสของการซื้อขายตึกนี้ ทั้งสองคนจึงเรียกร้องให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการสอบสวนการลงทุนที่ผิดปกติของกองทุนประกันสังคม พร้อมตั้งคำถามถึงนายกรัฐมนตรีและอดีตเลขาธิการประกันสังคม (นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์) ว่าควรมีการสอบสวนการซื้อขายตึกนี้ที่มีการปกปิดข้อมูลบางประการ

Read More

เป็นผลการประชุมคณะกรรมนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2568 ซึ่งมีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน พร้อมรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมประชุมด้วย โดยนางสาวแพทองธาร โพสต์เฟซบุ๊กระบุ ด้วยความร่วมมือทุกภาคส่วน ศักยภาพเศรษฐกิจไทยปี 2568 น่าจะเติบโตได้มากกว่า 3% ในปีนี้ พร้อมระบุเศรษฐกิจช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มฟื้นตัวตามลำดับ โดยมีการบริโภค การส่งออก และการท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ และรัฐบาลเชื่อว่าด้วยศักยภาพเศรษฐกิจไทย การร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ตัวเลขเศรษฐกิจน่าจะเติบโตได้มากกว่า 3% ผ่านการกระตุ้นเศรษฐกิจ และร่วมกันวางโครงสร้างระยะยาวไปพร้อมๆ กัน นอกจากนี้ยังพิจารณาโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาท ระยะที่สาม เพื่อวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล และต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ที่มีผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนในประเทศ เป็นกลุ่มเป้าหมายผู้ลงทะเบียนอายุ 16-20 ปี โดยต้องใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ สแกน QR code ณ ร้านค้าในพื้นที่เขตหรืออำเภอที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน ทั้งนี้นางสาวแพทองธารระบุ ได้เน้นย้ำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเครื่องยนต์สำคัญอย่างการท่องเที่ยว ที่ต้องดำเนินต่อไปตามแผนงาน และมีแผนงานใหม่ที่มุ่งไปยังกลุ่ม luxury เพื่อเพิ่มการใช้จ่ายนักท่องเที่ยวต่อหัวมากขึ้น และเรื่องที่สำคัญคือกลุ่มการเกษตร ที่ต้องพัฒนากระบวนการเกษตรทั้งระบบ ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนา การส่งออกสินค้าเกษตร และดูแลราคาสินค้าเกษตรให้เป็นธรรมหรือสูงขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร และทำให้รายได้ประเทศสูงขึ้นด้วย

Read More

ตั้งแต่ตั้งรัฐบาลมา ทุกคนก็รู้ว่า นายกฯ ไม่ได้มาคนเดียว แต่เป็น “ตัวแทน” ของใครบางคน ที่แม้ไม่มีตำแหน่งทางการเมือง แต่มีอำนาจมากกว่ารัฐมนตรีทั้งคณะรวมกัน และเมื่อฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ระบุว่า นายกฯ คนปัจจุบันเป็นแค่หุ่นเชิด และ “ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของรัฐบาลนี้” เป็นคนชักใยอยู่เบื้องหลัง ปรากฏว่าญัตตินี้เกือบถูกเบรก เพราะดันไปพาดพิง “คนนอก” เอ้า! เดี๋ยวนะ… คนนอก? แต่ทำไมคนนอกถึงมีอำนาจเหนือรัฐบาล? ‘สทร.’ ผู้คุมเกมรัฐบาล? ใครบางคนเคยพูดเองว่า “ผมเป็น สทร. (เสือกทุกเรื่อง) และดูเหมือนรัฐบาลนี้ จะยินดีให้เสือกได้ทุกเรื่องจริง ๆ• นโยบายสำคัญออกจากที่ประชุม ครม. หรือออกจากปาก “ใครบางคน”?• รัฐมนตรีต้องมุดบ้านจันทร์ส่องหล้าเข้าพบ “คนนอก” ไม่ใช่ “นายกฯ”• เวลาสื่อต้องการฟังนโยบายจากรัฐบาล ต้องสัมภาษณ์นายกฯ หรือรอ “คนนอก” ออกมาพูด? แต่พอฝ่ายค้านอภิปราย ดันบอกว่าแตะ “คนนอก” ไม่ได้ “คนนอก” แบบไหนสั่งการฉ่ำ ทำตามทุกเม็ด! ทำไมต้องเปลี่ยนชื่อ? เพราะ “วันนอร์” บอกแตะต้องไม่ได้ ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ กำลังจะไม่ถูกบรรจุในสภาฯ เพราะดันไปพาดพิง “ทักษิณ” …สมัครใจยินยอมให้นายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดา ชี้นำ ชักใย ให้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการอันเป็นเรื่องสำคัญของชาติบ้านเมือง ประพฤติตนเป็นเสมือนนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด โดยมีบิดาเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการใช้อำนาจ มาลองเปลี่ยนชื่อเรียก “ทักษิณ” กันดูหน่อย จะเรียกอะไรดี?• จะเรียก “บุคคลผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดของรัฐบาล”?• หรือจะเรียก “ผู้กำหนดทุกอย่างโดยไม่ต้องมีตำแหน่ง”?• หรือให้ใช้คำที่เจ้าตัวพูดเอง “สทร. (เสือกทุกเรื่อง)” หรือ “คนชั้น 14 จะดีหรือเปล่า? สรุปคือ อภิปรายนายกฯ ได้ แต่อภิปรายคนที่สั่งนายกฯ ไม่ได้นี่สิ… ประชาธิปไตยแบบพรรคเพื่อไทย! ความจริงการพาดพิงคนนอก สส.ไม่มีเอกสิทธิ์อยู่แล้ว คิดว่าเสียหายฟ้องได้เลย และที่บอกไม่มีปากมีเสียง ไม่มีใครแก้แทน ก็ปากนายกฯ ไง ที่ต้องชี้แจงเพราะเขาบอกคุณอยู่ภายใต้การควบคุม ถูกชักใย แถมองครักษ์อีกเพียบ กลัวอะไรกับความจริง…

Read More

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุม คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2568 โดยย้ำว่า รัฐบาลตั้งเป้ากระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต 3% พร้อมเผยรายละเอียดมาตรการระยะสั้นที่จะเปิดตัวในวันนี้ อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือ โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ซึ่งเคยเป็นนโยบายหาเสียงสำคัญของรัฐบาล แต่ล่าสุดมีการปรับเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายและเงื่อนไขการรับสิทธิ์ ทำให้เกิดคำถามถึงความคุ้มค่าและผลกระทบต่อประชาชน นโยบายไม่ตรงปก จ่ายตรงจากภาษีประชาชน ก่อนหน้านี้ รัฐบาลได้ดำเนินโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท มาแล้ว 2 เฟส โดยเฟสแรกมุ่งเน้นไปที่ กลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ และเฟสที่สองสำหรับ ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งทั้งสองเฟสนี้ครอบคลุมประชาชนรวมประมาณ 17 ล้านคน สำหรับเฟสที่สาม ซึ่งกำลังจะพิจารณาในวันนี้ มีการคาดการณ์ว่าจะมุ่งเน้นไปที่ กลุ่มประชาชนทั่วไปที่มีอายุ 16-59 ปี โดยมีผู้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ประมาณ 16 ล้านคน อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า อาจมีการพิจารณาให้กลุ่มวัยรุ่นที่มีอายุ 16-20 ปี ซึ่งมีประมาณ 2 ล้านคน ได้รับสิทธิก่อน โดยใช้งบประมาณกว่า 20,000 ล้านบาท เกิดคำถามเพราะไม่มีเงินใช่หรือไม่? กลายเป็นนโยบายทำไปคิดไปใช่หรือไม่? มีข้อมูลมากมายยืนยันทำแล้วไม่คุ้ม ทำไมดึงดันทำอีก? รักษาสัญญาการเมืองแต่เงินที่จ่ายภาษีประชาชนและการสร้างหนี้ดีที่สุดแล้วหรือสำหรับประเทศชาติ? คำถามที่เกิดขึ้น: ใครได้ ใครเสีย? การปรับเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายและเงื่อนไขการรับสิทธิ์ในโครงการนี้ ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า เหตุใดจึงต้องปรับเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย? การมุ่งเน้นไปที่กลุ่มอายุ 16-20 ปี มีเหตุผลเฉพาะเจาะจงหรือไม่? ถังแตกแล้วหรือเปล่า? ประชาชนกลุ่มอื่นจะได้รับสิทธิ์เมื่อใด? การปรับเปลี่ยนนี้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่คาดหวังจะได้รับสิทธิ์หรือไม่? ความคุ้มค่าของโครงการเป็นอย่างไร? การใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อแจกเงินดิจิทัลนี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาวหรือไม่? สัญญาการเมืองที่ใช้ภาษีประชาชน: ผลกระทบและความรับผิดชอบ การดำเนินโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เป็นการใช้ งบประมาณจากภาษีประชาชน ซึ่งทำให้เกิดคำถามถึง ความรับผิดชอบและความโปร่งใส ของรัฐบาลในการจัดการงบประมาณดังกล่าว ใครได้ประโยชน์? ประชาชนกลุ่มใดได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่? ใครเสียประโยชน์? ประชาชนกลุ่มใดที่อาจไม่ได้รับสิทธิ์หรือได้รับผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขของโครงการ? ความยั่งยืนของโครงการ การแจกเงินดิจิทัลนี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาวอย่างไร และรัฐบาลมีแผนรองรับหรือไม่? การประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในวันนี้ จะเป็นการตัดสินใจที่สำคัญต่อทิศทางของโครงการแจกเงินดิจิทัล…

Read More

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เปิด 6 ข้อสงสัย กรณีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่นายเทพไทเห็นว่าเตรียมการ และขานรับอย่างเป็นระบบเพื่อช่วยเหลือ ปกป้องนายทักษิณ ชินวัตร ไม่ให้ถูกพรรคฝ่ายค้านอภิปรายมา เริ่มจาก 1.แกนนำและสส.พรรคเพื่อไทยให้ข่าว โดยใช้วิธีปั่นกระแส ข่มขู่ ห้ามอภิปรายพาดพิงถึงบุคคลภายนอก อ้างผิดข้อบังคับการประชุมสภาฯ และอาจจะถูกฟ้องหมิ่นประมาท 2.ประกาศตั้งวอร์รูม หรือที่เรียกว่า พีทีพี อะคาเดมี (PTP Academy) สำหรับตอบโต้การอภิปราย 3.นางสาวแพทองธารได้ประกาศตั้งทีมองครักษ์แน่นอน ไว้ทำหน้าที่ประท้วง ถ้าเอ่ยชื่อทักษิณ 4.เคลื่อนไหวและแสดงท่าทีในลักษณะกดดันนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ทบทวนความเห็นของว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาฯ ที่ยืนยันว่า ญัตติของฝ่ายค้านถูกต้อง และกดดันให้ประธานสภาฯลบชื่อทักษิณออกจากญัตติให้ได้ 5.กระทั่งประธานสภาฯ ทำหนังสือด่วนถึงนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน ให้ลบชื่อนายทักษิณออกจากญัตติ ตามความต้องการ 6.และถึงญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ เลยเวลา 7 วัน แต่นายวันมูหะมัดนอร์ยังบอกว่าได้แจ้งด้วยวาจาให้ลบชื่อนายทักษิณออกจากญัตติ จึงไม่ขัดต่อข้อบังคับการประชุมฯ ปิดท้ายนายเทพไทบอก เป็นแสดงให้เห็นว่าการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ที่มีชื่อนายทักษิณอยู่ในญัตติด้วย มีการเตรียมแผน และหาช่องทางกีดกันไม่ให้อภิปรายถึงนายทักษิณให้จงได้ ทำให้นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ยอมเปลืองตัว มีหนังสือด่วนให้ลบชื่อนายทักษิณออกไปจนได้

Read More

การลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของ นายทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2568 พร้อมคำประกาศว่า “จะดับไฟใต้ให้ได้ภายใน 1 ปี” กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกตั้งคำถามอย่างหนัก เพราะเพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น เหตุการณ์ความไม่สงบกลับปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไฟใต้ยังลุกโชน—ความรุนแรงปะทุหลังทักษิณลงพื้นที่ หลังจากอดีตนายกฯ เดินทางไปสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากเกิดเหตุคาร์บอมก่อนเวลที่เครื่องบินของ “ทักษิณ” จะถึงท่าอากาศยานจังหวัดนราธิวาสเพียงชั่วโมงเศษแล้ว หลังจากนั้น ความรุนแรงกลับปะทุหนักขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่นราธิวาส ปัตตานี และยะลา ซึ่งถือเป็นสามจังหวัดที่เผชิญปัญหาความไม่สงบที่รุนแรงขึ้นมานานกว่า 20 ปี นับตั้งแต่ “ทักษิณ” เป็นนายกฯ เหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นหลังจากทักษิณลงพื้นที่ 5 มีนาคม 2568 – ไประเบิดยะลา!• 19.15 น. คนร้าย 2 คนขี่รถจักรยานยนต์ ขว้างระเบิดไปป์บอมบ์ใส่ป้อมตำรวจ บริเวณถนนพาดรถไฟ เขตเทศบาลนครยะลา• แรงระเบิดทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บ 6 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่ขับขี่รถผ่านบริเวณดังกล่าว• เจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นการก่อเหตุเพื่อทดสอบมาตรการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ 8 มีนาคม 2568 – คาร์บอมบ์ – ระเบิดป่วนใต้ 5 จุดใหญ่ นราธิวาส• 19.10 น. คนร้ายใช้คาร์บอมบ์ โจมตีป้อม อส. หน้าที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บกว่า 10 คน• 19.28 น. คนร้ายลอบวางระเบิดริมรางรถไฟ ถนนอรกานต์• 19.30 น. ระเบิดป่วนหน้าห้าง Big C สุไหงโก-ลก• 19.52 น. ระเบิดเสาไฟฟ้า ทำให้เกิดไฟดับบางพื้นที่ ปัตตานี• 18.00 น. ลอบยิงเจ้าหน้าที่ทหารพราน ร้อย ทพ. 4411 ในเขตอำเภอสายบุรี• 23.20 น. ลอบวางระเบิด! ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย…

Read More

ในขณะที่ประเทศไทยยังเต็มไปด้วยปัญหาปากท้อง เศรษฐกิจชะลอตัว ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ และเกษตรกรยังรอคอยความช่วยเหลือจากภาครัฐ นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร กลับเดินทางไปร่วมงาน ITB Berlin งานแสดงสินค้าท่องเที่ยวระดับโลกที่เยอรมนี งานที่โดยปกติแล้ว เป็นเวทีสำหรับหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวและผู้ประกอบการ ไม่ใช่ผู้นำประเทศ ในประเทศชาวนายังเดือดร้อน แต่นายกฯ ไปงานท่องเที่ยวที่ไม่มีผู้นำประเทศไหนไป! เพื่อ…? งาน ITB สำคัญพอให้นายกฯ ต้องไปเองหรือไม่? งาน ITB Berlin ถือเป็นมหกรรมด้านการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดงานหนึ่งของโลก แต่มันเป็น งานธุรกิจ ที่มุ่งเน้นให้ภาคเอกชนและองค์กรด้านการท่องเที่ยวได้เจรจาการค้า ทำข้อตกลง และสร้างเครือข่าย ไม่ใช่เวทีระดับนานาชาติที่ต้องการการตัดสินใจเชิงนโยบายจากนายกรัฐมนตรี ที่สำคัญ ไม่พบว่ามีนายกรัฐมนตรีหรือผู้นำประเทศไหนเข้าร่วมงานนี้ เพราะโดยปกติแล้ว หน้าที่นี้เป็นของกระทรวงการท่องเที่ยวหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในกรณีของไทย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวสามารถเป็นตัวแทนได้อยู่แล้ว คำถามคือ ทำไมนายกฯ ไทยต้องไปเอง? ถ้าจะไปโปรโมตการท่องเที่ยว ททท. หรือ รมว. การท่องเที่ยวก็ทำได้ ถ้าจะไปสร้างความร่วมมือ เอกชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวก็ทำได้…ทำไมต้องไปเอง? การที่นายกฯ เดินทางไปเอง จึงอาจถูกมองว่า เป็นการให้ความสำคัญผิดลำดับ หรือใช้ทรัพยากรของรัฐในทางที่ไม่จำเป็น งบประมาณที่ใช้ไปเพื่อตอบสนองความต้องการนายกฯ หรือเพื่อตอบโจทย์ประเทศ? ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่? การเดินทางไปร่วมงานที่เยอรมนีของนายกฯ และคณะรัฐบาล ใช้เงินภาษีประชาชนเท่าไหร่? ค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่ารักษาความปลอดภัย และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง มีคณะผู้ติดตามกี่คน? และแต่ละคนมีภารกิจอะไรบ้าง? งบประมาณที่ใช้ไป มีความคุ้มค่ากับผลลัพธ์ที่ได้จริงหรือไม่? ในอดีต เคยมีการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเรื่องการใช้จ่ายเกินความจำเป็นในการเดินทางไปต่างประเทศ และครั้งนี้ก็อาจถูกตั้งคำถามในลักษณะเดียวกัน แล้วชาวนา กับคนทำมาหากินล่ะ? ขณะที่ “แพทองธาร” เดินหน้าผลักดันตัวเองในเวทีท่องเที่ยวระดับโลก ชาวนาไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติที่แท้จริง ราคาข้าวตกต่ำ เพราะไร้มาตรการประกันราคา หรือ เอาตรง ๆ คือไม่มีมาตรการอะไรเลย ต้นทุนเกษตรกรพุ่งสูง รัฐบาลยังไม่เคยพูดถึงการช่วยลดต้นทุนให้เกษตรกร ทั้งที่เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกษตรกรขาดทุน ตลาดส่งออกข้าวพังพาบ ศักยภาพในการแข่งขันลดลงอย่างชัดเจน พันธุ์ข้าวหอมมะลิ เริ่มถูกเวียดนาม กัมพูชา ตีตื้น แต่รัฐบาลแพทองธาร ยังไม่ตระหนักถึงปัญหา จากข้อมูลล่าสุด ราคาข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ลดลงเหลือเพียง…

Read More

ในโลกแห่งแสงและเงาที่ถูกร้อยเรียงเป็นเรื่องราว คุณเกรซ มหาดำรงค์กุล บุตรีได้ถ่ายทอดเรื่องราวอันทรงคุณค่าของบิดา ชัยโรจน์ มหาดำรงค์กุล ศิลปินผู้รังสรรค์โลกแห่งภาพถ่าย ผู้ซึ่งก้าวข้ามขีดจำกัดแห่งศิลปะ จนได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในสิบช่างภาพยอดเยี่ยมของโลก จากความทรงจำอันแจ่มชัดของคุณเกรซนั้น คุณชัยโรจน์ มหาดำรงค์กุล มิใช่เพียงช่างภาพผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ แต่เป็นศิลปินผู้มีหัวใจรักในศิลปะการถ่ายภาพ สร้างสรรค์ผลงานอันเป็นดั่งมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าไว้กับสังคมไทย ด้วยความรักอันลึกซึ้งในการถ่ายภาพ คุณชัยโรจน์ได้บันทึกทุกห้วงเวลาแห่งชีวิตผ่านเลนส์กล้องคู่ใจ ไม่ว่าจะเป็นทิวทัศน์อันงดงามแห่งธรรมชาติ วิถีชีวิตอันเรียบง่ายของผู้คน หรือสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เช่น พระบรมมหาราชวังและวัดพระแก้ว จนภาพถ่ายเหล่านั้นกลายเป็นดั่งส่วนหนึ่งของชีวิต “ท่านเป็นผู้ที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดอย่างยิ่ง” คุณเกรซกล่าว “ท่านจะใช้เวลาอยู่กับกล้องคู่ใจเสมอ คอยดูแลรักษา สอนการวัดแสง และถ่ายทอดเทคนิคการถ่ายภาพให้แก่ลูกๆ ท่านมักจะย้ำเสมอว่า ‘ภาพหนึ่งภาพ สามารถเล่าเรื่องราวได้ทั้งหมด โดยไม่ต้องมีคำบรรยาย’ และนี่คือแนวทางในการถ่ายภาพของท่าน” จากแนวคิดนี้เองที่นำไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบ “Pictorial Art” ที่ทุกภาพสื่อถึงเรื่องราวในตัวมันเอง ภาพถ่ายของชัยโรจน์ส่วนใหญ่เป็นการบันทึกวัฒนธรรม ผู้คนในอิริยาบถต่างๆ โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่กำลังจะเลือนหายไป เช่น การบวชลูกแก้ว การแข่งเกวียน หนังตะลุง และศิลปะการแสดงต่างๆ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาและเรียนรู้ต่อไป ซึ่งทุกภาพ ทุกแสงเงา จึงเต็มไปด้วยเรื่องราวและความหมาย เป็นที่มาของรางวัลมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสิบช่างภาพยอดเยี่ยมของโลก คุณชัยโรจน์ยังได้รับโอกาสอันทรงเกียรติในการบันทึกภาพเหตุการณ์สำคัญของประเทศไทย เช่น งานฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และภาพเรือสุพรรณหงส์ในงานประชุมเอเปค 2003 รวมถึงการได้รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นเวลา 2 ปี เพื่อจัดทำหนังสือภาพ 72 พรรษา “ภาพชุดสมเด็จพระพันปีหลวงนี้ คุณชัยโรจน์บอกว่า สักวันหนึ่งเราจะจัดนิทรรศการแสดงผลงานชุดนี้” คุณเกรซกล่าวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “ภาพชุดนี้เป็นภาพที่พ่อภูมิใจที่สุด”ด้วยผลงานภาพถ่ายนับหมื่นภาพ รวมถึงภาพที่ได้รับรางวัลมากมาย คุณชัยโรจน์จึงมีความปรารถนาที่จะมอบผลงานทั้งหมดให้แก่หอสมุดแห่งชาติ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาและชื่นชมศิลปะ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตในแง่มุมต่างๆ ผ่านภาพถ่ายของท่าน

Read More

เป็นผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนของ “นิด้าโพล” เรื่อง “ไม่ไว้วางใจ แค่นายกรัฐมนตรี !” โดยจาก 1,310 หน่วยตัวอย่างจากประชาชนทุกกลุ่มทั่วประเทศ ซึ่งพบว่าตัวอย่าง ร้อยละ 36.49 ระบุควรขอเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกฯ และคณะรัฐมนตรีทั้งหมด รองลงมา ร้อยละ 31.83 ที่เห็นด้วยกับการขอเปิดอภิปรายฯ นายกฯ แค่เพียงคนเดียว และ ร้อยละ 17.63 ระบุไม่เห็นด้วยเลยกับการเปิดอภิปรายนายกฯ และ/หรือ รัฐมนตรีคนใด ร้อยละ 11.91 ระบุควรเปิดอภิปรายนายกฯ และรัฐมนตรีบางคน และร้อยละ 2.14 ระบุว่า ควรขอเปิดอภิปรายเฉพาะรัฐมนตรี ไม่รวมนายกรัฐมนตรี ส่วนเวลาที่เหมาะสมสำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี พบร้อยละ 37.25 ระบุจำนวน 3 วัน รองลงมา ร้อยละ 24.89 ระบุ 2 วัน และร้อยละ 21.30 ระบุ 5 วัน มีเพียงร้อยละ 11.68 ระบุ 1 วัน และเมื่อถามถึงการเปลี่ยนแปลงหลังการอภิปรายฯ พบว่าร้อยละ 53.44 เชื่อนายกฯ แพทองธาร ยังคงอยู่ในตำแหน่งเหมือนเดิม รองลงมา ร้อยละ 31.22 จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี ร้อยละ 28.17 ระบุว่า พรรคร่วมรัฐบาลยังคงเหมือนเดิม ร้อยละ 21.15 ระบุว่า คณะรัฐมนตรีจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง มีเพียงร้อยละ 11.76 เชื่อจะมียุบสภา และร้อยละ 6.64 เชื่อจะมีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี

Read More

โดยนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส่งหนังสือทางไปรษณีย์เพื่อขอให้ ป.ป.ช. รีบตรวจสอบนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ว่ามีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดรัฐธรรมนูญ หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมหรือไม่ นอกจากนี้เพื่อประโยชน์ในการทำหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ ป.ป.ช. มีหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎรให้รีบบรรจุญัตติดังกล่าวโดยเร็วด้วย พร้อมอ้างข้อบังคับการประชุม ที่ให้ประธานสภาฯ ตรวจสอบข้อบกพร่องของญัตติและแจ้งแก้ไขภายใน 7 วัน แต่กรณีนี้ สส.ฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อ 27 กุมภาพันธ์ แต่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร มีหนังสือด่วนที่สุดที่ระบุ ประธานสภาฯ ให้ถอนชื่อบุคคลภายนอกออกจากญัตติในวันที่ 7 มีนาคม ซึ่งเกินกำหนด 7 วันจึงอาจเป็นการใช้หน้าที่และอำนาจโดยไม่ชอบ นายเรืองไกรยังยกบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ และมาตรฐานทางจริยธรรมฯ เพื่อประกอบเหตุผลที่ว่า พฤติการณ์ดังกล่าวอาจทำให้สาธารณชนเข้าใจได้ว่า ข้อกล่าวอ้างของประธานสภาฯ มิอาจรับฟังได้ มีเจตนาหาเหตุจะไม่บรรจุญัตติ มีพฤติการณ์จงใจฝ่าฝืนข้อบังคับการประชุมสภาฯ เข้าข่ายไม่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่เป็นกลาง เข้าข่ายเพื่อหาเหตุมาเอื้อประโยชน์ให้กับนายกรัฐมนตรีหรือไม่ จึงมีเหตุอันควรขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ว่ามีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 วรรคหนึ่ง (1) หรือไม่

Read More