Author: Writer Publisher

พรุ่งนี้ (6 มี.ค.68) เป็นวันสำคัญของคดี “ฮั้วเลือก สว.” ที่กำลังสั่นสะเทือนวงการการเมืองไทย เมื่อคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) จะตัดสินว่าจะรับเรื่องนี้ให้เป็นคดีพิเศษ เพื่อให้ DSI (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) ดำเนินการหรือไม่ แต่สำหรับ ดร.ณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน แสดงความเห็นกับ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” ว่า ยังไม่ควรรับเป็นคดีพิเศษในตอนนี้ เพราะการเลือก สว. เป็นอำนาจของ กกต. ถ้าฝ่ายบริหารใช้ DSI เข้าไปตรวจสอบ มันจะกลายเป็นอำนาจซ้อนอำนาจ และเป็นช่องทางที่ฝ่ายการเมืองจะเข้าไปแทรกแซงการเลือกตั้งในอนาคตได้ เส้นทางล้มเลือกตั้ง ส.ว. – ก้าวแรกต้องไปศาลรัฐธรรมนูญ ดร.ณฐพร เชื่อว่า DSI ยังไม่ควรรับคดีฮั้วเลือก ส.ว. ในตอนนี้ เพราะอาจมีปัญหาทางกฎหมาย วิธีที่ถูกต้องคือ ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะก่อน แล้ว DSI ค่อยดำเนินคดีอาญา “ผมจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญวันที่ 10 มีนาคม เพื่อให้การเลือกตั้ง ส.ว. เป็นโมฆะ” เขาอธิบายว่า ถ้าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย DSI ก็จะสามารถดำเนินคดีในข้อหา “อั้งยี่ ซ่องโจร ฟอกเงิน” ได้อย่างเต็มที่ โดยไม่มีข้อครหาว่าฝ่ายบริหารกำลังก้าวก่ายอำนาจ กกต. “ถ้า DSI รีบรับคดีตอนนี้ อาจกลายเป็นการเปิดทางให้ฝ่ายการเมืองแทรกแซงการเลือกตั้งในอนาคตได้” แต่เขาก็ย้ำว่า DSI สามารถเริ่มสืบสวนเบื้องต้นได้ แต่ต้องแยกคดีออกให้ชัดเจน “ถ้าจะรับเป็นคดีพิเศษ ก็ต้องรับแค่ข้อหาอั้งยี่ ซ่องโจร ฟอกเงิน แยกออกจากประเด็นเลือก ส.ว.” หลักฐานมัดแน่น! “ร้อยคนเห็นก็บอกว่าฮั้ว” เมื่อพูดถึงหลักฐาน ดร.ณฐพร มั่นใจว่า พยานหลักฐานที่มีอยู่สามารถชี้ชัดว่าการเลือก ส.ว. ไม่เป็นไปอย่างสุจริต เที่ยงธรรม “ผมพูดตรง ๆ ว่า คนร้อยคนเห็นก็บอกว่าฮั้วแน่นอน! “เขาย้ำว่า ศาลรัฐธรรมนูญสามารถพิจารณาข้อมูลที่ปรากฏในสื่อมวลชนเป็นพยานหลักฐานได้ และถ้า DSI…

Read More

การเปลี่ยนผ่านของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กำลังเป็นที่จับตามอง เมื่อกรรมการ 3 คนกำลังจะหมดวาระ และการสรรหาคนใหม่เข้าไปแทนที่กำลังเป็นประเด็นร้อน โดยเฉพาะเมื่ออำนาจการเลือกอยู่ในมือของวุฒิสภา (ส.ว.) ซึ่งถูกมองว่ามี “สีน้ำเงิน” คุมเกมอยู่ คำถามสำคัญคือ ป.ป.ช. ชุดใหม่จะเป็นอิสระจริง หรือจะกลายเป็นกลไกของอำนาจทางการเมือง? ท่ามกลางคดีสำคัญที่รอการพิจารณา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชั้น 14 ป่วยทิพย์ ที่เกี่ยวพันโดยตรงถึง “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐบาลชุดปัจจุบัน นี่คือหัวข้อที่ ศ.พิเศษ วิชา มหาคุณ อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร เขาเปิดประเด็นว่า ป.ป.ช.ต้องทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่เครื่องมือทางการเมืองของใคร ไม่ต้องห่วงเรื่องความล่าช้าในทางคดีหลังเกิดการเปลี่ยนผ่านกรรมการ ป.ป.ช. เพราะคดีใหญ่ไม่ใช่ของใครคนเดียว แต่ป.ป.ช.ทั้งคณะต้องรับผิดชอบร่วมกัน เนื่องจากเป็นการไต่สวนในรูปแบบคณะ ไม่ใช่ทำงานแบบพระเอกคนเดียว แม้จะมีการเปลี่ยนตัวกรรมการ ป.ป.ช. แต่กระบวนการไต่สวนต้องเดินหน้าต่อไป ผู้ที่เข้ามาใหม่จะต้องสวมบทบาทของคนเก่าและศึกษาสำนวนโดยเร็วเพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้า “อย่าปล่อยให้ ป.ป.ช. ตกต่ำจนประชาชนไม่ไว้ใจ” ความกังวลต่อความโปร่งใสของ ป.ป.ช. ในปัจจุบันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากข้อครหาหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นการทำคดีล่าช้า หรือแม้แต่คดีที่หมดอายุความไปโดยไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน รวมถึงความไม่ไว้วางใจที่มีต่อ นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธาน ป.ป.ช. หลังปรากฏคลิปสนทนากับนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ส่อไปในทำนองต่อรองให้ยุติคำร้องจริยธรรมร้ายแรงที่ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ. สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีต ผบ.ตร. ยื่นเรื่องไว้ และสุดท้ายก็มีการยุติคำร้องไป โดยทั้งคู่ถูกยื่นตรวจสอบจริยธรรมร้ายแรงด้วย “ทุกองค์กรมีช่วงตกต่ำ ถ้าป.ป.ช. ไม่พิสูจน์ตัวเองว่าทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ก็จะเสียความเชื่อมั่นจากประชาชน ป.ป.ช.ต้องยึดโยงกับประชาชน ถ้าไม่ต้องการถูกครหา ต้องทำให้เห็นว่าการทำงานโปร่งใส และเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนตรวจสอบได้” “ป.ป.ช. ต้องไม่อยู่ใน ‘หลุมดำ’ ของกระบวนการยุติธรรม” ศ.พิเศษ วิชา แนะนำด้วยว่า ป.ป.ช. ต้องไม่ปล่อยให้เกิดความคลุมเครือ หรือทำให้ประชาชนรู้สึกว่าเป็นหลุมดำของระบบยุติธรรม เพราะในขณะนี้กระบวนการยุติธรรมก็ถูกตั้งคำถามมากเรื่องธรรมาภิบาล “ไม่มีทางที่จะอยู่ในหลุมดำแบบนี้ได้ ทุกคนที่อยู่ในป.ป.ช.เข้าใจดี โดยเฉพาะประธานป.ป.ช.ที่จะต้องรับมือในการสร้างความเชื่อถือให้กับประชาชน…

Read More

ประเด็นถกเถียงท้าทายกระบวนการตัดสินของศาลยุติธรรมที่กำลังร้อนแรงอยู่ในขณะนี้ หนีไม่พ้นปมศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 พิพากษาจำคุกกว่า 130 ปี แต่กฎหมายให้จำคุกสูงสุด 50 ปี จากกรณีอดีตพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานีและพวก ฮั้วประมูลโครงการรัฐมากถึง 26 สัญญา แต่ศาลฯ กลับให้รอลงอาญา จนเสียงวิจารณ์กระหึ่มโลกโซเชียล กระทั่งศาลฯ นั่งไม่ติด ส่ง รัฐวิชญ์ อริยะพัชญ์พล โฆษกศาลยุติธรรม ออกมาร่ายยาวชี้แจงแง่มุมกฎหมาย แต่ประชาชนอ่านแล้วก็ยังเต็มไปด้วยคำถาม เข้าใจดีว่า…ในสายตาของศาลฯ การพิจารณาคดีขึ้นอยู่กับ พยานหลักฐาน บทบัญญัติทางกฎหมาย และดุลพินิจของศาลเอง แต่ในสายตาของประชาชน คำถามที่เกิดขึ้นคือ “โกงเงินภาษี ทุจริตเป็นขบวนการ แต่รอดคุก นี่คือความยุติธรรมหรือไม่?” “มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติกว่า 81 ล้านบาท แต่การชดใช้ค่าเสียหายคืนราชการ 6.89 ล้านบาทสมเหตุสมผลที่จะลดโทษเป็นรอลงอาญาแล้วหรือ? และคำถามอีกมากมายที่สังคมยังคาใจ มุมมองทางกฎหมาย: “รอลงอาญา” ทำไมเป็นไปได้? คำอธิบายจากโฆษกศาลยุติธรรม ระบุว่า ในทางกฎหมาย ศาลมีอำนาจใช้ “ดุลพินิจ” ให้รอลงอาญาหากเห็นว่าจำเลยมี พฤติการณ์ที่ควรได้รับโอกาส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 จำเลย ให้การรับสารภาพ ศาลพิจารณาว่าเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการพิจารณาคดี จำเลย ชดใช้ค่าเสียหายคืนบางส่วน อาจเป็นเหตุบรรเทาโทษ จำเลย ไม่มีประวัติอาชญากรรมร้ายแรงมาก่อน มีโอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี และคดีนี้แม้มีหลายกระทง แต่เมื่อแยกพิจารณาโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี 7 เดือน 15 วันไม่เกิน 5 ปี จึงเข้าข่ายรอลงอาญาได้ ดังนั้น ศาลฯ อาจพิจารณาว่า การจำคุกจริง ไม่ได้เป็นทางออกที่ดีที่สุด และการควบคุมตัวด้วยเงื่อนไขคุมประพฤติแทน เป็นมาตรการที่เพียงพอ แต่คำถามคือ ”พิจารณาแยกกระทง กระทงละ 2 ปี 7 เดือน 15 วัน ไม่เกิน 5 ปี เข้าข่ายรอลงอาญาได้ แต่มันหลายกระทง ทำไมไม่คิดยอดรวมแต่ไปคิดแยกย่อยที่กลายเป็นประโยชน์ต่อจำเลย แต่ไม่เป็นคุณต่อการจัดการกับคนทุจริต? “50 ปี…

Read More

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่าได้หารือกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถึงการเตรียมชี้แจงในศึกอภิปรายฯ ซึ่งพรรคภูมิใจไทยยืนยันสนับสนุนเต็มที่ สั่ง สส.และรัฐมนตรีพรรค ห้ามลา ห้ามขาด ต้องเตรียมข้อมูลเพื่อสนับสนุนนายกฯ รวมถึงหากต้องช่วยชี้แจง เพราะจะไปให้นายกฯ ตอบเองหมด ก็ไม่ได้ ยืนยันทั้งหมดเป็นเรื่องของสปีริต อีกทั้งเป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีที่ต้องสนับสนุนนายกฯ เพราะการอภิปรายนายกฯ คนเดียวคือการอภิปรายฯทั้งรัฐบาลนั่นเอง ทั้งนี้นายอนุทินยอมรับว่าได้นำนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ด ไปพบกับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และนางสาวแพทองธาร ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งได้หารือทั้งเรื่องนโยบาย และศึกอภิปรายฯ ที่พรรคภูมิใจไทยสนับสนุนนายกฯเต็มที่ ยืนยันไม่ใช่เป็นการเคลียร์ใจหลังมีกระแสข่าวถึงรอยร้าวของทั้งสองพรรค เพราะตนเองคุยกับนายทักษิณเป็นประจำอยู่แล้ว ขณะที่ประเด็นร่างพระราชบัญญัติสถานบันเทิงครบวงจร (เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) และร่างพระราชบัญญัติการพนันออนไลน์ นายอนุทินบอกพรรคภูมิใจไทยไม่ได้ขวางพรรคเพื่อไทยแต่อย่างใด ทำงานเป็นทีมเวิร์ค รวมถึงมีสปิริตการอยู่ร่วมกันที่ต้องร่วมกันรับผิดชอบ ให้ความร่วมมือ และสนับสนุน เมื่อถามว่านายทักษิณมองร่าง พ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์อย่างไร นายอนุทินบอกเมื่อร่างของคณะกรรมการกฤษฎีกา กำหนดเงินในบัญชีขั้นต่ำ 50 ล้านบาทของผู้ใช้บริการกาสิโน หากคณะรัฐมนตรีตัดออกก็จะแย้งต่อกฤษฎีกาอีก จึงอาจจะให้สภาฯ รับหลักการแล้วตั้งคณะกรรมาธิการแปรญัตติกันต่อไป ส่วนจะนำเข้า ครม.สัปดาห์หน้าหรือไม่อยู่ที่นายกฯ โดยมีร่าง พ.ร.บ.การพนันออนไลน์จ่อเข้าพิจารณาเช่นกัน

Read More

ตลาดหุ้นไทยร่วงหนัก เศรษฐกิจดูไร้ทิศทาง และนักลงทุนต่างชาติเริ่มถอยห่าง “สิ่งที่อันตรายที่สุด ไม่ใช่วิกฤตเศรษฐกิจ แต่คือการที่รัฐบาลไม่เข้าใจว่ามีปัญหา” ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสจาก TDRI ให้สัมภาษณ์ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” โดยระบุว่า “วันนี้ไทยกำลังแพ้ทุกมิติทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต และสิ่งที่อันตรายที่สุดไม่ใช่วิกฤตที่กำลังเกิดขึ้น แต่คือการที่รัฐบาลยังไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นแล้ว ตลาดหุ้นไทย ภาพสะท้อน” อนาคตที่ไร้อนาคต” เขาอธิบายว่า ตลาดหุ้นไทยที่ร่วงหนักไม่ใช่เพราะแค่ปัจจัยระยะสั้น แต่เกิดจากสามปัจจัยใหญ่ที่สะสมมานานและรัฐบาลยังไม่ได้แก้ไขอย่างจริงจังวิกฤตที่ไทยกำลังเผชิญอยู่ ไม่ใช่แค่ปัญหาระยะสั้น แต่คือผลสะสมจากโครงสร้างเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงเรื่อย ๆ อุตสาหกรรมหลายอย่างกำลังเป็น” ตะวันตกดิน “โรงกลั่นน้ำมันกำลังถูกลดความสำคัญในโลกที่ใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น อุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่เคยเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจไทย วันนี้กำลังเผชิญคู่แข่งรายใหญ่อย่างจีน ที่สามารถผลิตได้เองในราคาถูกและมีประสิทธิภาพมากกว่า อุตสาหกรรมยานยนต์เองก็ต้องปรับตัวรับกับคลื่นของรถยนต์ไฟฟ้า ที่ใช้ชิ้นส่วนน้อยลง ใช้เทคโนโลยีมากขึ้น และอาจไม่ต้องพึ่งพาฐานการผลิตในไทยมากเหมือนเดิม โลกเปลี่ยน ไทยยังติดอยู่กับโมเดลเก่า! ไม่ใช่แค่อุตสาหกรรมที่เปลี่ยนไป ปัจจัยสำคัญอีกอย่างคือความหย่อนยานของธรรมาภิบาลในตลาดทุน บริษัทจดทะเบียนจำนวนมากกำลังเผชิญข้อครหาว่าผู้บริหารใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเล่นหุ้น มากกว่าการพัฒนาองค์กร บางรายมีประวัติฉ้อโกง หรือใช้บริษัทเป็นเครื่องมือในการสร้างกำไรส่วนตัวมากกว่าการดำเนินธุรกิจที่แท้จริง เมื่อปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่มีการจัดการอย่างจริงจัง ความเชื่อมั่นของนักลงทุนก็สั่นคลอน” ถ้าตลาดหุ้นไม่ใช่ที่ลงทุน แต่เป็นการเก็งกำไรอย่างฉาบฉวย ก็จะไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไป มีการศึกษาของเจพีมอร์แนและกสิกรไทยที่สะท้อนภาพให้เห็นว่า เมื่อเทียบกับความเสี่ยงแล้วผลตอบแทนของไทยคุ้มหรือไม่ คำตอบออกมาว่าไม่คุ้ม ต้องดันให้หุ้นไทยน่าลงทุนเมื่อเทียบกับต่างประเทศ” สงครามเศรษฐกิจมาแล้ว แต่ไทยยังไร้แผนรับมือ! ที่น่ากังวลไปกว่านั้นคือโลกเองก็กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และไทยยังไม่มีแผนรับมืออย่างเป็นรูปธรรม การกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ อาจหมายถึงกำแพงภาษีที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกของไทย ขณะที่จีนเองก็กำลังขยายอิทธิพลไปในหลายอุตสาหกรรม กดดันให้มาร์จิ้นของธุรกิจลดลง และทำให้การแข่งขันยิ่งดุเดือด “เหมือนเค้กในตลาดโลกลดลง หรือโตช้า การแข่งขันจะรุนแรงมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากธุรกิจจีนเข้ามาแทรกแซงในหลายสนามแข่งขัน ซึ่งเท่ากับมาร์จิ้นจะบางลง ผลตอบแทนก็จะต่ำลง และต้องดูว่าแข่งขันอย่างเป็นธรรมหรือไม่ด้วย สำคัญที่สุดคือเรื่องความเชื่อมั่น เพราะคนไม่แน่ใจว่าโลกจะเป็นอย่างไร เศรษฐกิจไทยจะเอาตัวรอดได้หรือไม่ ตลาดหุ้นคนก็ไม่แน่ใจว่ายังเป็นแหล่งที่สามารถลงทุนร่วมกันโดยไม่ต้องทำธุรกิจเองหรือไม่” รัฐบาลมองอนาคตแบบไหน? แก้เศรษฐกิจหรือคิดแค่เอาตัวรอดทางการเมือง? เมื่อปัจจัยลบซ้อนกันหลายชั้น คำถามสำคัญคือรัฐบาลมีแผนรับมือหรือไม่ ดร.นณริฏ ตั้งข้อสังเกตว่า ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ กำลังเร่งปรับตัวรับกับความเปลี่ยนแปลง รัฐบาลไทยกลับยังวนเวียนอยู่กับปัญหาเดิม ๆ นโยบายที่ถูกนำเสนอหลายอย่างยังเป็นการพยายามแก้ไขอดีต เช่น การส่งเสริมเอสเอ็มอี ที่ควรจะต้องทำมาตั้งแต่ 20-30 ปีที่แล้ว หรือการพูดถึงการพัฒนาดิจิทัล…

Read More

5 มีนาคม 2568 – ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) ร่วมกับ กรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร และกระทรวงสาธารณสุข จัดเสวนา “บุหรี่ไฟฟ้าทำปอดหาย: เสียงเตือนจากบุรีรัมย์” ที่โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพฯ “ธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้าขยายตลาด หวังเด็กไทยเป็นลูกค้าระยะยาว!” นพ.ทศพร เสรีรักษ์ ประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข เผยว่า บุหรี่ไฟฟ้ากำลังเป็นภัยคุกคามสุขภาพของเยาวชนไทย อย่างหนัก ธุรกิจนี้ต้องการสร้างนักสูบหน้าใหม่ มุ่งเป้าไปที่เด็กอายุ 15-24 ปี มีตัวเลขน่าตกใจว่า อัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้า พุ่งขึ้น 10 เท่า! (จากปี 2564-2565),นักเรียนไทยอายุ 13-15 ปี สูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 5.3 เท่า ใน 7 ปี ช็อกไปกว่านั้นมีข้อมูลล่าสุด พบเด็ก 8 คน มีอาการทางปอดรุนแรง “นิโคตินทำลายสมองเด็ก พัฒนาไม่เต็มที่ เสี่ยงปอดอักเสบเฉียบพลันจากบุหรี่ไฟฟ้า (EVALI)” – นพ.ทศพร กล่าว บุหรี่ไฟฟ้า ประตูสู่ยาเสพติด! “สูบแล้วเลิกยาก เสี่ยงใช้กัญชา-ยาเสพติดอื่น” พญ.ธญรช ทิพยวงศ์ ที่ปรึกษากรมการแพทย์ เผยว่า บุหรี่ไฟฟ้าเป็น Gateway นำไปสู่การใช้สารเสพติดอื่น ๆ เด็กที่เริ่มใช้บุหรี่ไฟฟ้า มีโอกาสสูงที่จะหันไปใช้ บุหรี่มวน กัญชา และไต่ระดับไปถึงยาเสพติดชนิดรุนแรง “นิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้า มีผลกระทบต่อสมองเด็ก ทำให้ติดง่าย ส่งผลต่ออารมณ์ ความคิด และพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ มีปัญหาสุขภาพจิต” “ปอดหาย” ภัยเงียบจากบุหรี่ไฟฟ้า! พญ.หฤทัย กมลาภรณ์ หัวหน้าหน่วยโรคระบบหายใจเด็ก รพ.รามาธิบดี อธิบายว่า ภาวะปอดอักเสบเฉียบพลันจากบุหรี่ไฟฟ้า (EVALI) คือ อาการปอดถูกทำลายรุนแรงจากสารเคมีในไอระเหยของบุหรี่ไฟฟ้า ทำให้เกิดอาการของ EVALI หายใจลำบาก ไอ หอบเหนื่อย เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ อาเจียน…

Read More

คดีป่วยทิพย์ “ชั้น 14” ของ “ทักษิณ” ที่กลายเป็นมหากาพย์การเมือง ยังไม่จบง่าย ๆ แต่ท่ามกลางกระแสสอบสวนที่ยังไม่ชัดเจนว่าคืบหน้าแค่ไหน กระดานนี้กำลังเปลี่ยนหมาก! ป.ป.ช. กำลังจะเปลี่ยนโฉม! เพราะกรรมการ 3 คนกำลังจะหมดวาระ และ ต้องสรรหาคนใหม่มาทดแทน ซึ่งอำนาจอยู่ในมือผ่าน ส.ว.! คำถามคือ… การเปลี่ยนตัว ป.ป.ช. จะส่งผลให้คดีพลิกหรือไม่? เพราะต้องไม่ลืมว่า นี่จะเป็นการเปลี่ยนหมากใน ป.ป.ช.ครั้งสำคัญ จาก ป.ป.ช.ชุดเดิมที่ตั้งโดย สว.ชุดเก่า ที่มาจาก คสช. มาเป็น ป.ป.ช.ที่เลือกโดยสว.ชุดใหม่ ที่มี “สีน้ำเงิน” คุมเสียงข้างมาก ในห้วงเวลาที่ แดง-น้ำเงิน กำลังประลองกำลัง เกมแชร์อำนาจ กระจายอิทธิพลสู่ ป.ป.ช. จึงน่าจับตายิ่ง ป.ป.ช. สอบป่วยทิพย์ กระแสแรง แต่จะไปถึงไหน? คดี “ป่วยทิพย์ ชั้น 14” คือหนึ่งในประเด็นร้อนที่ ป.ป.ช. ต้องไต่สวนข้อเท็จจริง ว่า “ทักษิณ” ได้รับอภิสิทธิ์พิเศษหรือไม่ ป่วยจริงหรือไม่? ในการเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ แทนที่จะถูกส่งตัวกลับไปเรือนจำ ขณะที่สังคมจับตาว่า ป.ป.ช. จะเอาจริงแค่ไหน? หรือจะเป็นแค่คดีที่ถูกดึงยาวออกไปจนหมดแรงกดดัน? ส.ว. คือกุญแจสำคัญ ป.ป.ช. ชุดใหม่ อาจเปลี่ยนเกม? ปัจจุบัน ป.ป.ช. กำลังจะมีกรรมการใหม่ 3 คน ซึ่งต้องผ่านการคัดเลือกจากวุฒิสภา (ส.ว.) ทำให้เกิดคำถามว่า ชุดใหม่ที่เข้ามา จะมีอิสระแค่ไหน หรือจะเอียงข้างใคร? ถ้าป.ป.ช. ชุดใหม่ “อิสระจริง” อาจทำให้คดีเดินหน้าเร็วขึ้น และ การสอบสวนป่วยทิพย์จะได้รับคำตอบที่ชัดเจน สังคมอาจได้เห็นการดำเนินคดีอย่างจริงจัง ถ้าป.ป.ช. ชุดใหม่ “มีดีลลับ” ? อาจมีความพยายามทำให้คดีเงียบ และ ลากเรื่องยาว จนอาจเห็นการเปลี่ยนแนวทางสอบสวน หรือ การพิจารณาคดีถูกดึงให้ช้าออกไปหรือไม่ คดีพลิกได้จริงไหม? โอกาสที่คดีจะ “พลิก”…

Read More

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความพูดถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี โดยบอกสนับสนุน และให้กำลังใจพรรครวมฝ่ายค้านในเรื่องนี้ ส่วนเวลาในการอภิปรายฯ ก็เห็นว่า 5 วันสำหรับนายกรัฐมนตรีคนเดียวดูมากเกินไป แต่ถ้ารัฐบาลให้เวลา 1 วันก็ถือว่าน้อยไป จึงอยู่ที่จะตกลงกันต่อไป นายนิพิฏฐ์ บอกด้วยว่านายกรัฐมนตรีคนนี้ก็เหมือนพ่อ คือไม่ชอบการถูกอภิปรายฯ ไม่ชอบการตอบคำถามในสภาฯ เวลามีกระทู้ถามก็มักจะหลีกเลี่ยงการตอบกะทู้ทุกครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นจุดอ่อนของนายกรัฐมนตรีที่ได้รับดีเอ็นเอจากพ่อ สำหรับพรรคประชาชน นายนิพิฏฐ์คิดว่าต้องอภิปรายเรื่องกระบวนการยุติธรรม กรณีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจแน่นอน เพราะกระบวนการยุติธรรมคือ “เสาค้ำยันระบอบประชาธิปไตย” แต่ก่อนหน้านี้พรรคประชาชน “ชกไม่เต็มหมัด” ทั้งนี้พรรคประชาชนเป็นแนวร่วมของคำกล่าวที่ว่า “คนเท่ากัน” แต่กรณีชั้น 14 รพ.ตำรวจ ไม่ค่อยได้ยินพรรคประชาชน นำคำว่า “คนเท่ากัน” มาใช้กับพ่อของนายกรัฐมนตรี หรือว่าพ่อของนายกรัฐมนตรีเป็นข้อยกเว้นของคำกล่าวที่ว่า“คนเท่ากัน” “เรื่องชั้น 14 รพ.ตำรวจ ผมว่าพวกเราที่เป็นภาคประชาชน มีข้อมูลมากกว่าพรรคประชาชนเสียอีก แต่เอาเถอะก็ให้กำลังใจ “ชกให้เต็มหมัด” อยากฟังข้อมูลของฝ่ายค้านในเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน

Read More

ราชบุรีเดือด! ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ตัดสินคดีฮั้วประมูลระบายมันสำปะหลังปี 51/52 พิพากษาจำคุก “มนัส สร้อยพลอย” อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ 10 ปี พร้อมลงโทษ บุญยิ่ง นิติกาญจนา ส.ส.ราชบุรี 6 ปี 8 เดือน ขณะที่ วิวัฒน์ นิติกาญจนา (กำนันตุ้ย) นายก อบจ. ราชบุรี และสามีของบุญยิ่ง ก็ติดร่างแห เปิดคดีใหญ่! โยงขบวนการทุจริตรัฐระบายมันสำปะหลัง เมื่อเร็ว ๆ นี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ได้อ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อท 60/2567 ซึ่ง อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บุญยิ่ง นิติกาญจนา ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ (ปัจจุบันสังกัดพรรคกล้าธรรม) กับพวกรวม 10 คน ในข้อหาทุจริต ฮั้วประมูลโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี 2551/2552 ครั้งที่ 9 ภายหลังศาลมีคำสั่ง รวมคดีของ “บุญยิ่ง” กับคดีหมายเลขดำที่ อท 53/2567 ซึ่งเป็นคดีของ มนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ที่ถูกฟ้องในข้อหาความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ทำให้บุญยิ่งถูกเปลี่ยนสถานะเป็น จำเลยที่ 4 ศาลพิพากษาแบบไหน? ใครติดคุก? ใครรอด? “มนัส สร้อยพลอย” (จำเลยที่ 1) ซึ่งเคยถูกตัดสินจำคุกคดีทุจริตจีทูจี 40 ปี มีกำหนดพ้นโทษ 11 ก.ค.69 ศาลตัดสินว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 11, 12 และ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 จำคุก 10 ปี!และให้นับโทษต่อจากคดีเก่าที่ศาลฎีกาเคยตัดสินไปแล้ว “บุญยิ่ง นิติกาญจนา” และพวก (จำเลยที่ 4-12)…

Read More

หลังเกิดกระแสในโลกโซเชียลเกี่ยวกับคดี อดีตพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานีและพวก ที่ถูกศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 พิพากษาจำคุกกว่า 130 ปี จากกรณีฮั้วประมูลโครงการภาครัฐถึง 26 สัญญา แต่ศาลกลับให้ “รอลงอาญา” จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงมาตรฐานกระบวนการยุติธรรม นายรัฐวิชญ์ อริยพัชญ์พล โฆษกศาลยุติธรรม ออกมาชี้แจงถึงเหตุผลของคำพิพากษา พร้อมอธิบายหลักเกณฑ์ที่ทำให้จำเลยรอดคุกได้ คดีนี้เกิดอะไรขึ้น? – “ฮั้ว” กันยังไงถึงโดน 130 ปี คดีนี้เริ่มต้นจาก อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง อดีตพาณิชย์จังหวัดอุบลฯ (จำเลยที่ 1) พร้อมกับ จำเลยที่ 2-10 ซึ่งเป็น เครือข่ายธุรกิจใกล้ชิด โดยถูกกล่าวหาว่า ตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดขึ้นมา สมยอมราคา ในการประมูลงานราชการ 26 สัญญา อีกทั้งห้างหุ้นส่วนดังกล่าว ไม่มีอุปกรณ์ ไม่มีทีมงาน ไม่มีศักยภาพจัดงานจริง มีการฮั้วประมูล งานจัดนิทรรศการ งานแสดงสินค้า งานประชาสัมพันธ์ ในสำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุบลฯ และสุรินทร์ มีความผิดฐานใช้อำนาจเอื้อประโยชน์แก่ตนเอง (ป.ป.ช. 2561 มาตรา 172) ,ฮั้วประมูล (พ.ร.บ.ฮั้ว 2542) ,ปลอมแปลงเอกสาร-ฟอกเงิน และข้อหาอื่น ๆ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86, 91, 151, 152, 157 ศาลฯ ตัดสิน จำเลยที่ 1 โดนโทษจำคุก 130 ปี 78 เดือน ปรับ 2.65 ล้านบาทแต่ศาลลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เพราะจำเลยรับสารภาพ คงเหลือ 65 ปี 39 เดือน ปรับ 1.33 ล้านบาท และสุดท้ายโทษจำคุกไม่เกิน 50 ปี ตามกฎหมาย แล้วทำไม “รอลงอาญา” ได้? ศาลใช้หลักอะไรตัดสิน? เหตุผลสำคัญที่ศาลให้รอลงอาญา…

Read More