- Original
- Urban Culture
- Writer
- About us
- คุยกับสส
- The Persona
- Brief
- Thai Treasure
- Urban life
- On this day
- News
- Home
- Editir pick
- Good
- Persona
- Persona
- Urban
- Business
- Politics
- Playlist
- Home
- People Voice
- Culture
- นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
- Urban Wealth
- Law
- Update
- I’m Youth Ranger
- Urban History
- Issues
- Check
Subscribe to Updates
Get the latest creative news from FooBar about art, design and business.
Author: Writer Publisher
18 ก.พ. 2568 – นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เปิดเผยถึงความคืบหน้าการพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร โดยระบุว่าขณะนี้อยู่ระหว่าง การพิจารณาวาระที่ 2 และเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ก่อนนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาต่อไป รับฟังความคิดเห็นก่อนเคาะวาระ 2 นายปกรณ์กล่าวว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านการพิจารณาในหลักการเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอน รับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ซึ่งจะถูกนำมาประกอบการพิจารณาในวาระที่ 2 และยืนยันว่า กระบวนการพิจารณาจะแล้วเสร็จภายใน 50 วัน “ตอนนี้เร่งทำกันอยู่ และจะพยายามให้ทันตามกรอบเวลา 50 วัน” นายปกรณ์กล่าว มาตรการป้องกันคนไทยติดพนัน ยังเป็นเพียงแนวคิด เมื่อถูกถามถึงมาตรการป้องกันไม่ให้คนไทยหมกมุ่นกับการพนัน นายปกรณ์ยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องการพนันเป็นหลัก แต่ให้ความสำคัญกับการพัฒนา สถานบันเทิงครบวงจร ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว “เราวางหลักการป้องกันไว้ เช่น มีข้อเสนอให้คนไทยที่ต้องการเข้าไปเล่นพนันต้องมีทรัพย์สินขั้นต่ำ 50 ล้านบาท ซึ่งยังเป็นเพียงแนวคิดเบื้องต้น และประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมได้” ประชาชนไม่เห็นด้วย รัฐบาลยังเดินหน้าต่อได้ เมื่อถูกถามว่าหากประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายนี้ รัฐบาลจะยังเดินหน้าหรือไม่ นายปกรณ์ชี้แจงว่า กระบวนการรับฟังความคิดเห็นและประชามติแตกต่างกัน โดยการรับฟังความคิดเห็นเป็นเพียง ข้อมูลประกอบการพิจารณาของรัฐบาล ซึ่งสุดท้าย รัฐบาลและสภาจะเป็นผู้ตัดสินใจ “อย่าเอาเรื่องการรับฟังความคิดเห็นไปปนกับประชามติ เพราะเป็นคนละเรื่องกัน การรับฟังความคิดเห็นเป็นเพียงแนวทางให้รัฐบาลพิจารณาต่อว่าจะดำเนินการอย่างไร” นายปกรณ์กล่าว ทั้งนี้ การตัดสินใจเดินหน้าหรือไม่ขึ้นอยู่กับรัฐบาล และสภาผู้แทนราษฎร โดยประชาชนยังสามารถเสนอความคิดเห็นเพิ่มเติมในช่วงเวลานี้
เพจ ‘หมอแล็บแพนด้า’ โพสต์เตือน หลังพบว่าตรวจเจอ “ไมโครพลาสติก” ในน้ำนมแม่ของคนไทย โดยอ้างอิงจากผลการวิจัย Journal of Clinical Medicine โดยนักวิจัยได้เก็บตัวอย่างน้ำนมจากคุณแม่หลังคลอด 59 คน โดยเฉลี่ยแล้วคุณแม่กลุ่มนี้มีอายุ 28.13 ปี ถือว่ายังวัยรุ่นเลยนะเนี่ย! จากนั้นเอามาตรวจด้วยเทคนิค Raman micro-spectroscopy ปรากฏว่า… 38.98% ของตัวอย่างมีไมโครพลาสติก! แทบจะครึ่งต่อครึ่ง! ชนิดของพลาสติกที่เจอ: ส่วนใหญ่เป็นโพลีโพรพิลีน (PP), โพลีเอทิลีน (PE), โพลีสไตรีน (PS) และโพลีไวนิลคลอไรด์ (PVC) ซึ่งมันก็คือพลาสติกที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี่แหละครับ! ตั้งแต่ถุงพลาสติกจนถึงกล่องใส่อาหาร คุณแม่ที่มีไมโครพลาสติกในน้ำนม มักจะมีปัญหาสุขภาพระหว่างให้นมลูก เช่น ท่อน้ำนมอุดตันมากกว่าคุณแม่ที่ไม่มีไมโครพลาสติก พวกจุลชีพในนมแม่ก็พบว่าแตกต่างกัน โดยกลุ่มที่เจอปนเปื้อนจะมีแบคทีเรียบางชนิด (Staphylococcus และ Streptococcus) มากกว่า “ไมโครพลาสติก” คืออะไร ?“ไมโครพลาสติก” คือ อนุภาคพลาสติกที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 5 มิลลิเมตร เป็นอนุภาคเล็ก ๆ ที่เกิดจากการย่อยสลายของพลาสติกขนาดใหญ่ ด้วยขนาดที่เล็กมากของมันทำให้เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งความน่ากังวลของ “ไมโครพลาสติก” คือการที่มันสามารถแทรกซึมและปนเปื้อนไปร่างกายของเราได้ง่าย ๆ ผ่านทางอาหาร น้ำ หรือแม้แต่การหายใจ ซึ่งผลการวิจัยนี้ยังเตือนไปถึงการใช้ “พลาสติก” ในชีวิตประจำวัน หากมันมากเกินไปจนแทรกซึมเข้ามาอยู่ในร่างกาย ไปจนถึงปนมากับน้ำนมแม่ได้ อาจจะถึงเวลาที่มนุษยชาติอาจจะต้องหันมาจริงจังในการ “ลด ละ เลิก การใช้พลาสติก” โดยหันมาใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติให้มากขึ้น เลี่ยงผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีไมโครบีดส์ รวมไปถึงการดูแลสุขภาพ หันมากินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง รวมถึงติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ “ไมโครพลาสติก” อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การศึกษาใหม่ของนักวิจัยในมหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโก ที่ทำการชันสูตรพลิกศพจำนวน 52 ร่างระหว่างปี 2016-2024 พบว่ามี ไมโครพลาสติกและนาโนพลาสติกในเนื้อเยื่อสมองเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงยังมีอนุภาคขนาดเล็กในตัวอย่างตับและไตอีกด้วย โดยความเข้มข้นของไมโครพลาสติกในเนื้อเยื่อสมอง สมอง และตับของผู้เสียชีวิตในปี 2024 สูงกว่าปี 2016 ประมาณ…
ในยุคที่ข้อมูลบิดเบือนแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเซาะกร่อนบ่อนทำลายชาติ ใช้ข้อมูลเท็จโจมตีสถาบันฯ 4 อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง ที่มีผู้ติดตามรวมมากกว่า 6 แสนคน ได้แก่ นายถิรวัฒน์ อุดินอักษร (กบ มโน), นายชวิศร์ ชูประทุม (ฟ้าคราม), นายอรรทิตย์ฌาณ คูหาเรืองรอง (อาร์ต ถึงแก่น) และ นางสาวสุพัตรา รังสิตสวัสดิ์ (ต้องตา) รวมพลังประกาศจุดยืน “พูดเพื่อชาติ” ชวนประชาชนร่วมขบวนการทวงคืน “ความจริงประเทศไทย” ในวันที่หลายเรื่อง “พูดไม่ได้ หรือไม่มีใครกล้าพูด?” โดยร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ “ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ” “ส่งเสริมคุณธรรม” และ “ธำรงรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์” ด้วยจิตสำนึกความเป็นคนไทย “กบมโน” หรือ ถิรวัฒน์ อุดินอักษร เชื่อมั่นใน “ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” ว่าเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะมีนักการเมืองที่ไม่สุจริต ระบบก็จะคัดกรองคนเหล่านี้ออกไป “ประเทศไม่ควรฝากไว้กับแค่นักการเมือง ประชาชนและข้าราชการยังสามารถมีส่วนร่วมขับเคลื่อนประเทสภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” ด้าน “ฟ้าคราม” ชวิศร์ชูประทุม ชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จของการพัฒนาประเทศในหลายด้านในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่กลับไม่ได้รับการนำเสนออย่างกว้างขวาง จึงเรียกร้องให้ พูดความจริงของประเทศไทย “เพราะเรื่องดี ๆ ของชาติต้องเล่าออกไปให้ได้มากที่สุด ให้ความจริงที่ถูกบิดเบือนได้รับการแก้ไข สร้างความเข้าใจ ลดความขัดแย้งในสังคม” ขณะที่ “อาร์ต ถึงแก่น” อรรทิตย์ฌาณ คูหาเรืองรอง เผยถึงขบวนการโปรปะกันดาที่สร้างข้อมูลเท็จโจมตีสถาบัน หลอกลวงเยาวชนและประชาชนบางกลุ่มให้หลงเชื่อ ด้วยการตีแผ่ความเท็จเรื่องประมวลกฎหมายอาญา “มาตรา 112” เพื่อหวังผลทางการเมือง จากขบวนการเซาะกร่อนบ่อนทำลายชาติ ส่งผลให้เกิดการละเมิดล่วงเกินสถาบันอันเป็นที่รักของคนในชาติ สร้างความขัดแย้งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ทั้ง ๆ ที่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่กฎหมาย แต่อยู่ที่การบิดเบือนข้อมูลทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด “ถึงเวลาแล้วที่เยาวชนและประชาชนบางกลุ่มต้องตาสว่าง และเข้าใจว่า สถาบันพระมหากษัตริย์มีคุณูปการแก่ประเทศไทยและปวงชนชาวไทยอย่างไร และทำไมพวกเราทุกคนต้องธำรงค์ไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ” ด้าน “ต้องตา” สุพัตรา รังสิตสวัสดิ์ ในฐานะตัวแทนของ 4อินฟลูเอนเซอร์รุ่นใหม่ ที่มียอดผู้ติดตามรวมกันมากกว่า 6 แสนคน ประกาศหาแนวร่วมสร้างเครือข่าย “พูดความจริง” โดยเฉพาะเรื่องชาติ ศาสนา…
ขณะที่กระแสผลักดันกาสิโนถูกกฎหมายเดินหน้าเต็มสูบ นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน ออกมาเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลให้เปิดทางให้ประชาชนมีส่วนร่วม ผ่านการลงชื่อ 50,000 รายชื่อเพื่อขอทำประชามติ ซึ่งดำเนินการไปสองสัปดาห์ ได้รายชื่อมาแล้วราว 20,000 รายชื่อ ทำให้ต้องเร่งเครื่องให้ทันต่อการผลักดันของรัฐบาล นายธนากรให้สัมภาษณ์ The Publisher ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ดำเนินรายการโดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร ระบุว่า ขณะนี้ได้ทำหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและรัฐบาล ขอให้เปิดโอกาสให้ประชาชนมีเวลาเพียงพอในการรวบรวมรายชื่อ “เราขอเวลา 60 วันเพื่อรวบรวมรายชื่อ เพราะนี่คือสิทธิของประชาชนตามกฎหมาย สิ่งสำคัญคือรัฐบาลจะใจกว้างพอหรือไม่ หากรีบร้อนผลักดันกฎหมายโดยไม่รอเสียงประชาชน ก็ต้องเตรียมรับแรงกดดันจากสังคม” งง “คลัง” เปิดฟังความเห็นรอบ 3 ร่างเดิม! นอกจากความล่าช้าในการรวบรวมรายชื่อ เลขาฯ หยุดพนัน ยังแสดงความประหลาดใจที่กระทรวงการคลังเปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชนต่อ ร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร เป็นรอบที่สาม ทั้งที่การรับฟังรอบสองเพิ่งปิดไปเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ที่น่าสงสัยคือ ร่างกฎหมายที่เปิดรับฟังใหม่นี้ยังคงเป็นฉบับเดิม ไม่ใช่ร่างที่สำนักงานกฤษฎีกาปรับปรุง ซึ่งสร้างข้อกังขาว่าทำไมถึงไม่นำร่างฉบับที่แก้ไขแล้วมารับฟังความคิดเห็น “กฎหมายสองฉบับคือ สถานบันเทิงครบวงจรกับร่างแก้ไขพ.ร.บ.การพนัน เปิดช่องพนันออนไลน์ถูกกฎหมาย มีความเกี่ยวข้องกับการพนันโดยตรง และมีผลกระทบต่อสังคมอย่างมาก รัฐบาลไม่ควรใช้ ทางเร็ว ทางลัด เร่งรัดกระบวนการ แต่ต้องศึกษาผลกระทบอย่างรอบคอบ ไม่ใช่คิดง่าย ๆ” นายธนากรกล่าว “เดิมพันอนาคตสังคม: รัฐบาลจะฟังเสียงประชาชน หรือเร่งเปิดกาสิโน?” ประเด็นนี้กลายเป็นคำถามสำคัญต่อรัฐบาล ว่าจะให้โอกาสประชาชนใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในการแสดงความคิดเห็น หรือจะผลักดันให้กาสิโนและพนันออนไลน์ถูกกฎหมายโดยไม่มีการทำประชามติ การเดินหน้าออกกฎหมายเกี่ยวกับการพนันทั้งสองฉบับ กำลังถูกจับตาจากหลายฝ่าย ว่าจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนจริง หรือเพื่อประโยชน์ของกลุ่มธุรกิจบางกลุ่มกันแน่?
เมื่อวันที่ 15-16 ส.ค. 68 สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงเสด็จเปิดงาน China Fair 2025 by TCSA : Study-Work-Travel ฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ณ ลานชั้น 9 อาคาร SIAM SCAPE เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ซึ่งงานดังกล่าวจัดโดยสมาคมนักเรียนไทย-จีน ภายใต้การสนับสนุนของสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำราชอาณาจักรไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อแนะแนวด้านการศึกษาต่อที่ประเทศจีน โอกาสการทำงาน และการท่องเที่ยวจีนให้แก่เยาวชนคนรุ่นใหม่ นอกจากนี้ ยังมุ่งส่งเสริมการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนในด้านต่างๆ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน สำหรับแขกผู้มีเกียรติที่เข้าร่วมพิธีเปิดงาน อาทิ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, นายอู๋ จื้ออู่ อัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย, มาดามหวัง ฮวน ภริยา เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำราชอาณาจักรไทย, นางสาวสุชาดา ซาง แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม, รองศาสตราจารย์ยุทธนา ฉัพพรรณรัตน์ รองอธิการบดี ด้านศิลปะวัฒนธรรม เครือข่ายการเรียนรู้ และ LLL จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, นายฐาปณัฐ อุดมศรี รองผู้อำนายการกลุ่มวิจัยและพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้, นายปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร, คุณธนากร เสรีบุรี รองประธานกรรมการอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ ดร.ริชาร์ด หวัง ผู้อำนวยการบริหาร สถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (กรุงเทพ) ระหว่างพิธีเปิด ผู้แทนจากสมาคมนักเรียนไทย-จีน ได้เข้าเฝ้าถวายเงินโดยเสด็จพระกุศลตามพระอัธยาศัย ทั้งนี้ ผู้บริหารสมาคมฯ และผู้มีอุปการคุณในการจัดงานฯ จำนวน 30 คน ได้เข้ารับพระราชทานเข็มที่ระลึก ในวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน งาน “China Fair 2025 by…
การเมืองไทยร้อนระอุ หลัง “ภูมิใจไทย” หักหลัง “เพื่อไทย” กลางสภา ขวางการส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความเงื่อนไขทำประชามติ ด้านนักวิชาการชี้เกมนี้อาจนำไปสู่การปรับครม. หรือกระทั่งยุบสภา! ศึกในสภาระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลปะทุเดือด หลังพรรคภูมิใจไทยตัดสินใจขวางพรรคเพื่อไทยในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จุดชนวนข้อครหาว่าความสัมพันธ์ของสองพรรคกำลังแตกร้าว หรือแท้จริงแล้วเป็นเพียงเกมอำนาจ? รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ จากนิด้า ให้สัมภาษณ์ในรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” โดย สมจิตต์ นวเครือสุนทร ชี้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองพรรคการเมืองใหญ่นี้เต็มไปด้วยความเปราะบาง และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ “มีโอกาสสูงที่เพื่อไทยจะปรับครม.เชิงกลยุทธ์หลังศึกซักฟอก และอาจถึงขั้นยุบสภาเร็วสุดภายในปีนี้ ช้าที่สุดปีหน้า วิธีการกำจัดภูมิใจไทยคือการเจรจาสลับกระทรวง ถ้าตกลงไม่ได้ก็อาจถูกปรับออกไปเลย รัฐบาลอาจเสียงปริ่มน้ำ แต่หลังศึกซักฟอก ความสำคัญของเสียงเหล่านี้จะลดลง เพราะปีนี้จะไม่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจอีก” “ศึกนี้ไม่จบแค่ในสภา”: จากสนามการเมืองสู่สนามกอล์ฟ สปก. ไม่ใช่แค่การแก้รัฐธรรมนูญที่ภูมิใจไทยเล่นเกมขวางเพื่อไทย แต่มูลเหตุอาจโยงไปถึงการตรวจสอบ ที่ดินสนามกอล์ฟของครอบครัว “อนุทิน ชาญวีรกูล” ซึ่งเป็นประเด็นที่กำลังถูกขยายผล ภูมิใจไทยเองก็ขวางนโยบายเพื่อไทยหลายเรื่อง เช่น กฎหมายกัญชาเสรี ขณะที่เพื่อไทยก็มีแนวโน้มทำลายนโยบายของภูมิใจไทยเช่นกัน “หากมองจากคำสัมภาษณ์ของนายอนุทินที่ใช้ถ้อยคำรุนแรง สะท้อนความหงุดหงิดจากการถูกตรวจสอบในเรื่องอ่อนไหวของครอบครัว เป็นไปได้ว่านี่คือเกมกดดันให้ภูมิใจไทยยอมทำตามที่เพื่อไทยต้องการ” เป้าหมายใหญ่: เพื่อไทยต้องการกระทรวงมหาดไทย-พลังงานคืน รศ.ดร.พิชาย วิเคราะห์ว่า “เพื่อไทย” ต้องการรวบอำนาจในกระทรวงหลักกลับมา ก่อนศึกเลือกตั้งครั้งหน้า โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทยที่อยู่ในมือของภูมิใจไทย และกระทรวงพลังงานที่อาจใช้เจรจากับรวมไทยสร้างชาติ “การเลือกตั้งครั้งหน้าจะดุเดือดโดยเฉพาะในภาคอีสาน ซึ่งภูมิใจไทยเป็นคู่แข่งสำคัญของเพื่อไทย ทั้งหมดนี้จึงเป็นเกมวางแผนเพื่อความได้เปรียบในสนามเลือกตั้ง” การเมืองติดล็อก – ประชาชนแพ้ทั้งกระดาน นอกจากนี้ การแก้รัฐธรรมนูญที่ยังค้างเติ่งอยู่ก็ดูเหมือนจะไม่มีทางออก พรรคเพื่อไทยพยายามเสนอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ แต่ถ้าภูมิใจไทยและพรรคประชาชนปฏิเสธ ผลลัพธ์ก็จะวนลูปกลับไปที่เดิม “แต่สุดท้ายไม่มีใครชนะ ประชาชนต่างหากที่แพ้ เพราะพวกเขาจะเบื่อหน่ายกับเกมของนักการเมือง การเมืองไทยตอนนี้เต็มไปด้วยความกลัว ความสับสน และการเล่นอำนาจเกินขอบเขต สุดท้ายอาจเปิดช่องให้อำนาจอื่นเข้ามาแทรกแซง” คลิปฉาว 2 ประธาน: ใครจะรอด? อีกประเด็นที่น่าจับตาคือ กรณีคลิปหลุดการสนทนาของ “นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข” ประธาน ป.ป.ช. และ “นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานรัฐสภา ที่เกี่ยวข้องกับการร้องเรียนของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล (บิ๊กโจ๊ก) ซึ่งหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า อาจนำไปสู่การตรวจสอบจริยธรรม “หากทั้งสองคนนี้ถูกผลักออกจากตำแหน่ง ผู้ที่ได้ประโยชน์ที่สุดมีสองกลุ่มคือ…
กรณี พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. ที่ถูกศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พิพากษาจำคุก 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา ตามมาตรา 157 กลายเป็นประเด็นร้อนที่สังคมให้ความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเธอมีบทบาทในการปกป้องสิทธิผู้บริโภค ทำให้เกิดคำถามว่า เหตุใดการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายเพื่อคุ้มครองประชาชนจึงนำไปสู่การถูกลงโทษ? สภาองค์กรของผู้บริโภค (TCC) ได้สรุป คำถามสำคัญที่สังคมควรรู้ เพื่อทำความเข้าใจเบื้องหลังคดีนี้ ในรูปแบบถามตอบ โดยสรุปดังนี้ คดีนี้เกี่ยวกับอะไร? พิรงรอง รามสูต ถูกฟ้องฐาน ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 เนื่องจากเธอทำหน้าที่ในฐานะประธานอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ โดยได้นำเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับ ทรูไอดี ซึ่งมีการแทรกโฆษณาในช่องฟรีทีวี เข้าสู่ที่ประชุม ที่ประชุม มีมติ 3 ข้อ โดยไม่มีกรรมการคนใดคัดค้าน ได้แก่1 ให้สำนักงานศึกษาการให้บริการของแพลตฟอร์ม OTT และแพลตฟอร์มอื่นที่คล้ายกัน2 เชิญ ทรูไอดีและแพลตฟอร์มอื่น มาชี้แจง3 แจ้ง ผู้รับใบอนุญาตทั้งหมด 127 ราย ให้ปฏิบัติตาม ประกาศ Must Carry ที่กำหนดให้แพลตฟอร์มโทรทัศน์ต้องนำช่องทีวีที่ภาครัฐกำหนดไปออกอากาศโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ข้อสังเกต: ประเด็นที่ถูกพิจารณา ไม่ใช่การกำกับ OTT แต่เป็นเรื่อง ทรูไอดีให้บริการรวบรวมช่องรายการไปเผยแพร่โดยไม่ขอใบอนุญาต ซึ่งอาจขัดต่อประกาศ กสทช. อย่างไรก็ตาม การดำเนินการของพิรงรองกลับถูกมองว่า เป็นการกำกับ OTT โดยไม่มีอำนาจ ซึ่งกลายเป็นข้อกล่าวหาในคดีนี้ กสทช. มีอำนาจกำกับ OTT หรือไม่? มีอำนาจกำกับ OTT ตามมติ กสทช. 2 ครั้งเมษายน 2560 – กำหนดให้ OTT เป็น กิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ ตามนิยามของ พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่สิงหาคม 2566 – ยืนยันให้ แพลตฟอร์มดิจิทัลที่ให้บริการแพร่ภาพ-แพร่เสียง อยู่ภายใต้การกำกับของ กสทช. ข้อสังเกต: แม้จะมีมติยืนยันอำนาจกำกับ OTT แต่ ร่างประกาศ OTT…
กลายเป็นไวรัลที่มียอดกดไลก์กว่า 90,000 ครั้ง หลังผู้ใช้ Facebook รายหนึ่งซึ่งเป็นลูกชาย ได้มาโพสต์หางานขับรถผู้บริหารให้คุณพ่อในวัย 62 ปี ในกลุ่ม ‘กลุ่มคนขับรถผู้บริหาร’ โดยแนบประวัติ คุณสมบัติ ทักษะ ประสบการณ์การทำงาน เงินเดือนที่คาดหวัง พร้อมการันตีมาตรฐานความปลอดภัยในการขับขี่ได้อย่างครบถ้วนไม่มีตกหล่น จนชาวเน็ตหลายคนต่างก็เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นชื่นชมการเขียนโพสต์ของผู้เป็นลูกชาย ที่ระบุรายละเอียดทุกอย่าง และเขียนประวัติโดยย่อของผู้หางานในตำแหน่งที่ต้องการได้อย่างมีคุณภาพ พร้อมทั้งอวยพรให้คุณพ่อเจ้าของโพสต์ได้งานโดยเร็ว
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า นายหลิว จงอี ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน ได้ประสานงานกับรัฐบาลไทยก่อนเดินทางไปยังเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา เพื่อจัดการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ นายภูมิธรรมระบุว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่างสามประเทศ คือ ไทย จีน และเมียนมา โดยแต่ละประเทศมีการแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน สำหรับผู้ที่ถูกจับกุม ทางเมียนมาจะรับผิดชอบในการดำเนินการตามกฎหมายของตน ขณะที่ไทยพร้อมให้การสนับสนุนหากมีการร้องขอ นอกจากนี้ นายภูมิธรรมยังยืนยันว่า แม้นายหม่องชิตตู่จะมีบทบาทในการช่วยปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่หมายจับที่ออกโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ยังคงมีผลบังคับใช้ และการดำเนินคดีกับเขาจะยังคงดำเนินต่อไป การประสานงานระหว่างประเทศในครั้งนี้ แสดงถึงความร่วมมือที่แน่นแฟ้นในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และย้ำว่าไทยไม่ใช่ส่วนหนึ่งของจีน แต่เป็นพันธมิตรที่พร้อมร่วมมือในการแก้ไขปัญหาระดับภูมิภาค
มูลนิธิรณรงค์หยุดพนันเปิดตัวแคมเปญ “คนหัวโน” กระตุ้นประชาชนแสดงพลังคัดค้าน หลังรัฐบาลเดินหน้าผลักดัน เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่มีกาสิโนเป็นส่วนประกอบสำคัญ โดยไม่รับฟังเสียงท้วงติงจากสังคม แคมเปญนี้เชิญชวนให้ประชาชนร่วมกันเป็น “คนหัวโน” ส่งเสียง “โน” ทุกวัน 7 วัน 7 หน ผ่านภาพการ์ตูนชุดพิเศษ เพิ่มจากการส่งสติ๊กเกอร์ทักทายรายวัน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการไม่ยอมรับนโยบายที่อาจส่งผลกระทบต่อสังคมไทย “เมื่อรัฐบาลทำตัว โนสน-โนแคร์ ไม่สนเสียงคัดค้านของประชาชน เราก็ต้อง โนทุกวัน ส่งเสียงคัดค้านดัง ๆ ถี่ ๆ จนกว่ารัฐบาลจะฟัง” มูลนิธิฯ ระบุ แคมเปญนี้สะท้อนกระแสต่อต้านกาสิโนในไทยที่ยังคงร้อนแรง ขณะที่รัฐบาลยืนยันเดินหน้าตามแผน ส่งผลให้ภาคประชาสังคมต้องหาทางเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องเพื่อคัดค้าน
